- 19 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ tnews.co.th
จากที่ได้เล่าถึงที่มาของ “พลับพลาพิมพวดี” วัดมกุฏกษัตริยาราม ไว้ในความเดิมตอนที่แล้ว รายละเอียดตามลิงค์
สำหรับเรื่องราวที่ พิมพวดี โหสกุล เกี่ยวข้องกับนายแพทย์อาจินต์ นั้น นายแพทย์อาจินต์ กล่าวว่า
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวผมเอง โดยเมื่อราวปลายปี 2529 คาบเกี่ยวถึง วันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2530 เมื่อครั้งที่ได้จัดคณะท่องเที่ยวผู้สูงอายุไปพักผ่อนทางเหนือ ผมก็ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวาตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่นอายุยังน้อย อาการก็ไม่ค่อยทรมานรุนแรงมากนัก กินยาแก้ปวดแรง ๆ ก็พอบรรเทาไปได้ แต่พอปี พ.ศ.2504 ผมเป็นเกิดปวดมากจนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ก็ไม่หาย แพทย์จึงรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียด และรักษาที่ตึกวิบูลลักษณ์ ชั้นล่าง (ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว) โดยได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดี แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน
คืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่มเศษ ๆ โรคปวดประสาทอาการกำเริบอีก พยาบาลให้กินยาและฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ แต่อาการก็ไม่หายปวด ผมนอนหลับตา เอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วก็ภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ๆ ทำอาปานุสสติ ไปเรื่อย ๆ พอสงบ ประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ก็หลับตาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง จึงลืมตาถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่สองคนนี้ว่า "ใครมา?" ได้รับคำตอบว่า "ดึกแล้ว...ไม่มีใครมาหรอก" จากนั้นผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัดว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างอ้วน มายืนอยู่ข้างเตียง ผมจึงเอ่ยปากออกถามว่า “หนูเป็นใครมาทำไมที่นี่" (พูดออกมาดัง ๆ เพื่อให้ภรรยาและพยาบาลได้ยิน) ภรรยาก็มาเขย่าแขนแล้วพูดว่า "เธอ นี่อยู่นี่ ๆ ” ก็คงคิดว่าผมคงป่วยมากจนเพ้อ แต่ผมก็บอกว่า "ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่ว่า...มีใครเห็นไหม?" มีเด็กมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ สองคนนั้นตอบว่า "ไม่มีใคร" แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม!
ก็เลยพูดออกมาดัง ๆ ว่า "จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจด ๆ จำ ๆ ไว้ด้วย" แล้วผมก็ถามด้วยเสียงดัง ๆ ว่า "หนูเป็นใคร....มาทำไมในห้องนี้?" แม่หนูตอบว่า "หนูเคยป่วยในห้องนี้ และตายในห้องนี้เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว" ผมก็ถามต่อว่า "เอ้อ! หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ หนูเป็นอะไรตาย?" หนูน้อยตอบว่า “ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ" ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่..."หนูเป็นลูกหลานใครกันจ๊ะ?"…"ตาหนูเป็นหลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริค่ะ" ผมทบทวนคำพูดดัง ๆ ทุกคำ เพื่อให้ผู้ที่กำลังฟังได้ยินด้วย แล้วถามต่อว่า"หนูมานี่มีความประสงค์อะไรจ๊ะ" .."หนูมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเสียชีวิตเมื่อปีหลายที่ตึกเด็ก เขาบอกว่าเขาเป็นลูกคุณอาเมื่อชาติที่แล้ว เขาอยากจะมาหา และมาช่วยคุณอาให้หายป่วยจากโรคนี้ เขาให้หนูมาบอกคุณอาก่อนค่ะ" จากนั้นผมก็ลุกขึ้นนั่ง เล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ภรรยา กับพยาบาลฟัง...พยาบาลคนนั้น ตื่นเต้นมาก พลางบอกว่า ที่ตึกนี้และห้องนี้ เมื่อประมาณปี 2502 มีเด็กผู้หญิงถึงแก่กรรมที่ตึกนี้
จากนั้นผมก็เข้านอน โดยไม่ลืมภาวนาบริกรรม พุทโธ ๆ ๆ ไปด้วย ต่อมาประมาณห้าทุ่ม ผมก็ปวดประสาทอย่างรุนแรง จึงตื่นขึ้นมาและผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ที่หูว่า "เธอ! พ่อเธอนอนอยู่นี่ยังไง....เข้ามาซิ" ผมลืมตาขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร แต่พอหลับตาก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกว่า "เข้ามาซิ เข้ามาเถอะ!" ผมลืมตาขึ้นอีกที ทีนี้เห็นเด็กสองคนเข้ามายืนข้างเตียงผม คนหนึ่งอ้วนคนเก่า อีกคนหนึ่งอยู่ในวัย 12 ขวบ หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เธอเดินมาข้างเตียงผมแล้วพูดว่า "พ่อ! หนูมาช่วยพ่อ"
(พลับพลาพิมพวดี)
ผมจึงเรียกภรรยาและนางพยาบาลให้ตื่น แล้วถามว่า "เห็นเด็กผู้หญิงสองคนตรงนี้ไหม เด็ก ๆ มายืนอยู่ที่นี่แนะ!"
พยาบาลเปิดไฟในห้องสว่างพรึ่บ แล้วบอกว่า "ไม่เห็นมีใครมาซักคนนี่คะ?" ผมจึงตอบไปว่า "มีซิ มีแม่หนูสองคนมาเยี่ยม แล้วก็ยืนอยู่ตรงนี้ นี่ไงล่ะ" และผมก็ยื่นมือออกไปชี้ที่ตัวเด็ก ขณะที่ภรรยาผมกับพยาบาลตื่นขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาชิดกัน (อาจจะเพราะความกลัว) จากนั้นหนูอ้วนยืนอยู่สักครู่แล้วก็ลาไป เหลือแต่แม่หนูตัวเล็กคนเดียว ตอนนี้เธอนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนอนผม ข้อศอกสองข้างเท้าที่นอนยันคางไว้ แล้วถามว่า...
พิมพวดี โหสกุล: คุณพ่อปวดศรีษะมากหรือคะ
นายแพทย์อาจินต์ : ตอนนี้ปวดมากจ้ะ!
พิมพวดี โหสกุล: (ยื่นมือข้างหนึ่งมากุมหรือกดศีรษะ ด้านที่ปวดของผมไว้) สักครู่จะทุเลา
นายแพทย์อาจินต์ : (ต่อจากนั้นสักพักอาการปวดก็สงบ) หนูเป็นใคร แล้วทำไม มาเรียกว่าพ่อ
พิมพวดี โหสกุล: ชาติที่แล้วหนูเป็นลูกของพ่อ
นายแพทย์อาจินต์ : อ้อ ชาติที่แล้วเป็นลูกของพ่อ ชาติก่อนนี้ หนูเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิง
พิมพวดี โหสกุล: เป็นผู้หญิงค่ะ
นายแพทย์อาจินต์ : หนูเป็นอะไรตายในชาติก่อน
พิมพวดี โหสกุล: หนูไปเล่นน้ำแล้วไถลลื่น และตกน้ำตาย
นายแพทย์อาจินต์ : หนูตายที่ไหน
พิมพวดี โหสกุล: ตกน้ำตายที่โรงโม่
นายแพทย์อาจินต์ : โรงโม่อยู่ที่ไหน
พิมพวดี โหสกุล: ก็แถว ๆ ท่าเตียนนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่
นายแพทย์อาจินต์ : ตอนที่ตกน้ำตายหนูอายุเท่าไหร่
พิมพวดี โหสกุล: ก็สิบกว่าขวบค่ะ
นายแพทย์อาจินต์ : ชาติก่อนนี้ พ่อเป็นอะไร
พิมพวดี โหสกุล: ชาติก่อนนี้พ่อรับราชการในรัชกาลที่ 3 เป็นผู้คุมนักโทษและราชมัล
นายแพทย์อาจินต์ : ราชมัล เป็นอย่างไร พ่อไม่รู้จัก
พิมพวดี โหสกุล: ราชมัล เป็นผู้คุม เป็นคนลงโทษนักโทษ ทรมานนักโทษ รวมทั้งประหารชีวิตนักโทษด้วย
นายแพทย์อาจินต์ : ที่พ่อป่วยนี้ ป่วยมานานเป็นเพราะอะไร แล้วเมื่อไหร่จะหาย
พิมพวดี โหสกุล: ป่วยเพราะกรรมเก่าที่ทำไว้แต่ชาติก่อน พ่อมีหน้าที่เกี่ยวกับนักโทษ ควบคุมลงโทษ ทรมานเขา กรรมก็ตามมาสนองในชาตินี้
(เด็กหญิงพิมพวดี)
นายแพทย์อาจินต์ : ก็ทำตามหน้าที่…หน้าที่ คือ ควบคุมทรมานเขา เราไม่ทำ เราก็ผิด
พิมพวดี โหสกุล: ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งรูปร่างอ้วนใหญ่ สูงดำ ถูกคดีฆ่าชาวบ้านตาย ทำทารุณต่าง ๆ แก่ราษฎร ความจริงนั้นเขาไม่ได้ทำ แต่ชาวบ้านมารวมหัวกันใส่ความเขา พระอัยการก็คุมตัวมาลงโทษ สอบถามเขา เขาไม่ได้ทำ ก็ไม่รับ ราชมัลก็คือ พ่อ ได้ลงโทษเขา จับเขาเข้าขื่อเข้าคาตอกเล็บ แล้วเอาเครื่องมือมาบีบขมับเขา บีบขมับจนเขาสลบ เพราะความเจ็บปวด เขาก็ไม่รับว่าเป็นผู้ร้าย พ่อก็ลงโทษบีบขมับเขาอีก เพื่อให้เขารับสัตย์ว่าเป็น เขาก็ไม่รับ ในที่สุดก็ทนทรมานไม่ไหว ก็ขาดใจตาย ก่อนตายเขาผูกใจอาฆาตพยาบาทไว้ว่าจะจองเวรไปทุกชาติจนกว่าจะหมดเวร ตอนนี้กรรมมาตามทันอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้ป่วยเช่นนี้
นายแพทย์อาจินต์ : เมื่อไหร่จะชดใช้กรรมนี้หมดเสียที
พิมพวดี โหสกุล: พ่อทำไว้มาก ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว กรรมก็สลับกันไป กรรมดีทำให้พ่อเกิดมาอย่างนี้ กรรมชั่วก็ตามมาสนองอย่างนี้ เวลาผมปวดประสาทมาก ๆ ให้นึกถึงหนู หนูจะมาช่วยให้บรรเทาเบาบางลง พรุ่งนี้แปดนาฬิกา หมอจะเอาพ่อไปผ่ากระโหลกศีรษะ
นายแพทย์อาจินต์ : พรุ่งนี้เช้าหรือ จะผ่ากระโหลกศีรษะพ่อหรือ
พิมพวดี โหสกุล: (เธอก็พยักหน้ารับคำ) หนูจะไปก่อนล่ะ
จากนั้นหนูน้อยคนนั้นก็หายตัวไป รุ่งขึ้นเวลา 8 นาฬิกา อาจารย์หมออุดม มาตรวจเยี่ยม ได้รับรายงานว่า เมื่อคืนนี้ปวดประสาทมาก ปวดจนดิ้นถึงสองครั้ง ท่านยืนคิดสักครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า "แปดโมงเช้านี้ จะเอาตัวไปผ่าตัด ผ่าเอาปมประสาทที่ปวดออก" แล้วหันมาสั่งพยาบาลให้ไปบอกหัวหน้าตึกให้เตรียมนำคนไข้รายนี้ไปผ่าตัด
ภรรยาและพยาบาลมองหน้ากันด้วยความงุนงงเต็มที่ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าจะนำผมไปผ่าตัด ที่งงเพราะเมื่อคืนนี้ได้ยินผมพูดคนเดียว คือทวนคำพูดของแม่หนูว่า พรุ่งนี้ 8 นาฬิกา หมอจะเอาไปผ่าตัด ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง....มาตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อไม่มีความสงสัย!
(เด็กหญิงพิมพวดี)
ความเดิมตอนที่แล้ว รายละเอียดตามลิงค์ http://www.tnews.co.th/contents/320374
ติดตามตอนต่อไป ("นายเสียง โหสกุล คุณพ่อของพิมพวดี เดินทางมาเยี่ยม นายแพทย์อาจินต์)






