- 29 พ.ค. 2560
www.tnews.co.th
เวลานั้นในประเทศสยาม พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นผู้ชำระคดีความ ต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับสมัยของพ่อขุนรามคำแหง จวบจนสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำกลองใบใหญ่ที่เจ้าพระยาพระคลังนำมาถวายไปตั้งไว้ที่ที่ริมกรมวัง กรมวังลั่นกุญแจ พระราชทานนามว่า “วินิจฉัยเภรี” สำหรับให้ประชาชนที่ต้องการร้องทุกข์ถวายฎีกามาตี แล้วกรมวังก็จะไขกุญแจให้
เมื่อผู้ถวายฎีกาตีกลองแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่ก็ไปรับเอาตัวมา และนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ถ้ามีพระราชโองการสั่งให้ผู้ใดชำระ พนักงานเจ้าหน้าที่ก็จัดส่งฎีกาที่ราษฎรร้องทุกข์ ไปตามพระราชโองการทุกครั้งไป จากนั้นจึงมอบหมายให้ขุนนางคอยดูแลชำระความ และคอยสอบถามอยู่เสมอมิให้ขาด ทำให้ขุนนางไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อหน้าที่ได้
ทว่าตามความเป็นจริงกลับไม่ใคร่มีใครกล้าเข้าไปตีกลองร้องถวายฎีกาเท่าใดนัก เพราะแต่เดิมผู้ใดมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจจะตีกลองทูลเกล้าถวายฎีกา จะต้องถูกเฆี่ยนก่อน ๓๐ ที เพื่อพิสูจน์ความเดือดร้อน และป้องกันมิให้ถวายฎีกาพร่ำเพรื่อเป็นที่รบกวนพระราชหฤทัยต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้งดเว้นการเฆี่ยนเสีย แม้เมื่อเลิกประเพณีการเฆี่ยนก่อนถวายฎีกาแล้วก็ตาม ก็ยังปรากฏว่า"ผู้จะเข้ามาตีกลอง ร้อยถวายฎีกาได้ยากลำบากเขาจะต้องเสียเงินค่าไขกุญแจให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
สุดท้ายจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกตีกลองเสีย แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ป่าวประกาศว่า ต่อไปจะเสด็จออกรับฎีกา ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ในวันขึ้น ๗ ค่ำ แรม ๗ ค่ำ และแรม ๑๓ ค่ำ ในเดือนขาด และแรม ๑๔ ค่ำในเดือนเต็ม เมื่อเวลาจะเสด็จออก ให้ตีกลองวินิจฉัยเภรีเรียกผู้ที่จะถวายฎีกามาชุมนุมกันหน้าพระที่นั่ง เมื่อราษฎรได้ทราบวันและเวลาเสด็จออกทั่วกันแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กลองอีกต่อไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอสำหรับเก็บกลองใบนี้ไว้ที่ข้างป้อมสิงขรขัณฑ์ ริมประตูเทวาพิทักษ์ ต่อมา จึงได้ตั้งกลองวินิจฉัยเภรีจัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และยังตั้งแสดงให้ประชาชนได้ชมจนถึงปัจจุบัน






