- 26 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ดวงพระราชหฤทัยเพียงดวงเดียวของ “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับธรรมเนียมจากตะวันตกคือมี “พระบรมราชินี” เพียงพระองค์เดียว มีเกร็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า (รัชกาลที่ ๗) กับพระนางเจ้ารำไพพรรณีว่าเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๗ ดำรงพระอิสริยยศ “เจ้าฟ้าประชาธิปกฯ” และทรงผนวชจำพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงได้รับได้รับสมณฉายาว่า “ปชาธิโป” โดยการนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณะ ทรงรับเป็นพระอุปัชฌาย์ และทรงมีพระราชประสงค์อันแรงกล้าที่จะชักชวน “เจ้าฟ้าพระ” ให้ครองสมณะเพศเพื่อเป็นทายาทปกครองสังฆมลทลสืบต่อไป เหตุที่พระมหาสมณะทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้นเพราะ “เจ้าฟ้าพระ” ทรงเป็นพระราชโอรสองค์เล็กในบรรดาเจ้าฟ้าทั้งปวง ซึ่งยังมีพระเชษฐาธิราชอีกหลายพระองค์ ถึงอย่างไรก็คงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเถลิงราชย์เป็นแน่
แม้ว่าสิ่งที่พระมหาสมณะทรงคาดคะเนไว้นั้นอาจจะเป็นจริง แต่ก็มิอาจรั้งให้ “เจ้าฟ้าพระ” ครองสมณะเพศต่อไปได้ เพตุเพราะ “เจ้าฟ้าพระ” ทรงมีพระราชหฤทัยรักใคร่ผูกพันกับ “หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี” พระธิดาของสมเด็จน้าของพระองค์ (สมเด็จฯ กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์) อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นที่ทราบกันดีในราชสำนัก และทันทีที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ตรัสเรียก “เจ้าฟ้าพระ” มาชี้แจงความปรารถนาของพระองค์ “เจ้าฟ้าพระ” ทรงทูลปฏิเสธทันที เพราะพระองค์มีพระประสงค์จะอภิเษกสมรส
เมื่อ “เจ้าฟ้าพระ” ออกจากเพศบรรพชิตแล้วทรงกลับไปรับราชการทหารได้ ๑ ปี จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตอภิเษกสมรสกับ “หม่อเจ้าหญิงรำไพพรรณี” ต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อความทราบถึงรัชกาลที่ ๖ แล้วทรงมีพระบรมราชานุญาตตามความประสงค์ของพระเจ้าน้องยาเธอฯ (รัชกาลที่ ๗) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๖๑
ในการพระราชพิธีนั้นสมุหพระนิติศาสตร์ตั้งกระทู้กราบทูลถามสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯว่า “ฝ่าพระบาททรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงรับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีเป็นพระชายา เพื่อทรงถนอมทะนุบำรุงด้วยความเสน่หาและทรงพระเมตตากรุณาสืบไปจนตลอดนั้นฤา” สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ (รัชกาลที่ ๗) ทรงตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น” จากนั้นก็กราบบังคมทูลถามหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีว่า “ท่านตั้งหฤทัยที่มอบองค์ของท่านเป็นพระชายาแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ด้วยความเสน่หาจงรัก สมัครจะปฏิบัติอยู่ในพระโอวาทแห้งพระสวามีสืบไปจนตลอดนั้นฤา” หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณีตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนั้น”
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจิม และพระราชทานเข็มพระบรมนามาภิไธยประดับเพชรแก่พระเจ้าน้องยาเธอฯ และสร้อยพระศอกับหีบหมากทองคำแก่หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี เมื่อเสร็จสิ้นพิธีต่างๆแล้ว มีพระราชทานเลี้ยงแก่ผู้มาร่วมงาน โดยงานอภิเษกนี้ได้มีพระราชโทรเลขส่งไปยังพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศอีกด้วย
หลังจากพระเจ้าน้องยาเธอฯทรงรับราชสมบัติเป็น “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” แล้วพระชายาได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี” และทรงเป็นพระราชินีคู่บุญเพียงพระองค์เดียวของพระปกเกล้า จวบจนกระทั่งรัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ
มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยช่วงวินาทีที่ “พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ทรงทราบข่าวการ “ปฏิวัติ” ที่กรุงเทพฯว่า หลังจากมีการปรึกษากันอยู่นานเกี่ยวกับคำขาดของ “คณะราษฎร” รัชกาลที่ ๗ ทรงตัดสินพระราชหฤทัยแล้วว่าจะไม่รบพุ่งให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งเจ้านายหลายพระองค์ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ จึงไม่อยากจะทำอะไรผลีผลามทรงรับสั่งว่าจะต้องปรึกษา “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี” เสียก่อนว่าจะอยู่หรือไป?
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสถามพระบรมราชินีว่า “หญิงว่ายังไง?” สมเด็จพระบรมราชินีทูลตอบในทันทีว่า “เข้าไปตายก็ไม่เป็นไร ต้องมีศักดิ์ศรี มีสัจจะ” คำตอบของ “พระบรมราชินี” มีส่วนให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยได้อย่างเด็ดขาด ดังปรากฎในพระราชหัตถเลขาหลังจากการปฏิวัติ ๒ เดือนต่อมาความตอนหนึ่งว่า ….
“…ฉันต้องยอมรับว่าทั้งสมเด็จ (พระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ) และหญิงอาภา (พระองค์เจ้าอาภาพรรณี พระชนนีของพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ) ควรจะได้รับเกียรติศักดิ์อย่างสูงที่แสดงความกล้าหาญอย่างยิ่งเช่นนั้น เพราะเราทุกๆคนทราบกันดีว่า ถึงเรายอมกลับกรุงเทพฯต่อไปเขาจะฆ่าเราเสียก็ได้ ผู้หญิงสองคนนั้นเขากล้ายอมตายดีกว่าจะเสียเกียรติศักดิ์ เมื่อเขาตกลงเช่นนั้น ฉันก็เห็นด้วยทันที…”
อีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งในช่วงรัชกาลที่ ๗ คือเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” ซึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องวางพระองค์เป็นกลาง ไม่เข้าข้างทั้งกบฏและรัฐบาลโดยพระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จจากพระตำหนักเปี่ยม สุขไปไกลจากความวุ่นวายทางการเมืองโดยทันที โดยการเสด็จลงเรือยนต์พระที่นั่ง “ศรวรุณ” ฝ่าคลื่นมรสุมกลางทะเล ซึ่งเรือนั้นก็เป็นเรือที่ไม่เคยออกทะเลมาก่อน อีกทั้งไม่มีแผนที่เดินเรือ ไม่มีห้องสรง แม้กระทั่งการกิน “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี” ทรงต้องประกอบพระกระยาหารเองและแจกจ่ายผู้ร่วมตามเสด็จด้วย
๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ในระหว่างที่รถพระที่นั่งของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯกำลังวิ่งไปตามถนน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวลอยเด่นอยู่ตรงหน้ารถพระที่นั่ง คล้ายกับเป็นลางสังหรณ์ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โบกให้รถพระที่นั่งหยุดและทูล รายงานพระอาการประชวรของรัชกาลที่ ๗ ให้ทรงทราบ ซึ่งนางพยาบาลเล่าว่าหลังจากเสวยเช้าแล้วก็ทรงหนังสือพิมพ์ สักพักก็ทรงบ่นว่าวิงเวียนไม่สบาย นางพยาบาลจึงลุกไปหยิบยา พอกลับ มาก็เห็นพระหัตถ์ตกห้อยลงมาอยู่ข้างๆ หนังสือพิมพ์ตกอยู่กับพื้น หลับพระเนตรเหมือนหลับสบาย เมื่อจับชีพจรแล้วจึงได้รู้ว่า “สวรรคต” เสียแล้ว
ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ” ทรงจัดการพิธีพระบรมศพตามรับสั่งของพระสวามีคือให้จัดการถวายพระเพลิงโดย เร็ว ไม่ต้องมีพิธีเกียรติยศ ขอเพียงให้เอาซอไวโอลินเล่นเพลงที่พระองค์ (รัชกาลที่ ๗) โปรดขณะถวายพระเพลิงก็พอ … จึงนับได้ว่าเป็นพระราชพิธีพระบรมศพพระมหากษัตริย์ไทยที่เรียบง่ายที่สุด
จนเมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯประทับที่อังกฤษครบ ๑๕ ปี รัฐบาลไทยโดยคณะผู้สำเร็จราชการฯได้ทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ และพระบรมอัฐิของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗ นิวัติกลับประเทศไทย จากนั้นก็ทรงประกอบพระราชกรณียกิจอันสมควรแก่ฐานะพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งยังทรงงานหัตถกรรมโดยเฉพาะ “งานเสื่อ” และยังสนพระทัยงานเกษตรกรรม ๓๕ ปีหลังการนิวัติพระนครพร้อมพระบรมอัฐิพระราชสวามี “สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ” เสด็จสวรรคตอย่างสงบเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๗ ณ วังศุโขทัย สิริพระชนมายุ ๗๙ พรรษา ๕ เดือน ๒ วัน
ที่มาจาก : chaoprayanews.com
https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว






