- 07 ก.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
(พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช กับ เซเลีย โฮวาร์ด (หม่อมชลิตา ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา))
หลายคนอาจจะรู้จัก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือในชื่อของ เจ้าดาราทอง ทรงเป็นนักแข่งรถชาวไทย และทรงเป็นผู้เข้าแข่งขันกีฬาเรือใบในโอลิมปิก ๑๙๕๖, ๑๙๖๐, ๑ช๖๔ และ ๑๙๗๒ ทรงเป็นเจ้าชายนักแข่งรถที่โด่งดังมากในอดีต เส้งนทางความรักของพระองค์นั้น ได้พบกับ เซเลีย โฮวาร์ด ชื่อเล่นภาษาสเปนว่า เชลีตา หรือรู้จักในนาม หม่อมชลิตา ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา เป็นสตรีชาวอาร์เจนตินาและเป็นหม่อมคนที่สองของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ซึ่งสมรสกันในปี พ.ศ. ๒๔๙๔
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชได้พบกับเชลีตา โฮเวิร์ดหรือหม่อมชลิตา ครั้งแรกในการแข่งขันที่ประเทศอาร์เจนตินา ด้วยขณะนั้นพระองค์พีระและหม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ได้ครองคู่กันมากว่า ๑๑ ปีแล้ว แต่ด้วยความที่พระองค์พีระทรงเป็นคนดังบุคลิกดี สามารถตรัสได้คล่องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และยังใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองได้กลายเป็นแรงดึงดูดผู้หญิงอื่นให้เข้ามาหลงใหลพระองค์พีระ จนทำให้หม่อมซิริลตัดสินใจแยกกันอยู่ ซึ่งก็ทำให้ทั้งสองห่างกัน หม่อมชลิตาที่เป็นสาวสวยได้คอบปรนนิบัติพัดวีแก่พระองค์พีระขณะที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่งรถ จนที่สุดพระองค์ก็ทรงพาชลิตากลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับหล่อนไม่ได้กลับบ้านไปหาหม่อมซิริล เมื่อเป็นเช่นนั้น หม่อมซิริลจึงตัดสินใจหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมายในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ทั้งที่ยังรัก พระองค์พีระเองก็ทั้งรักและอาลัยหม่อมซิริล ทั้งยังทรงอ้อนวอนให้หม่อมเปลี่ยนใจไม่หย่าแต่ก็ไม่ทรงคิดที่จะสละชลิตาไปได้อยู่ดี ทั้งคู่จึงจากกันด้วยน้ำตา เพราะรู้ตัวว่าสามารถครองคู่กันได้เพียงแค่นี้ คงเหลือไว้แต่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น
(พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช กับนางสาวซีริล เฮย์ค็อก ชาวอังกฤษ (หม่อมซีริล ภาณุพันธ์ ณ อยุธยา))
หลังทรงหย่ากับหม่อมซิริล พระองค์พีระจึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับหม่อมชลิตาที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ มีการจัดงานเลี้ยง ณ สถานทูตไทยในปารีส โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์และหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยาร่วมงานด้วย แต่อย่างไรก็ตามพระองค์พีระก็ทรงระลึกถึงหม่อมซิริลเสมอ ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชายของหม่อมซิริล แล้วพาหม่อมชลิตาไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับหม่อมซิริล ไปไหนมาไหนกัน ๔ คน แต่หม่อมซิริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก และยังคงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น
ปลายปี พ.ศ.๒๔๙๗ พระองค์พีระก็ทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถอีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ที่มีสมรรถภาพที่ดีเกิดขึ้นกว่าเก่าก่อน จะแซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่าย ถ้าจะลงทุนซื้อรถใหม่พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็ถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล ประกอบกับหม่อมชลิตาได้ให้การประสูติโอรส คือหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ พระองค์พีระจึงตัดสินพระทัยอำลาชีวิตนักแข่ง พาครอบครัวกลับมาพำนักในเมืองไทยใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกา เมื่อพระชนมายุได้ ๔๒ พรรษา
แต่เมื่อหม่อมชลิตาเข้ามาพำนักในไทยได้ ๑๑ วัน ก็บินไปฝรั่งเศสจนในอีก ๗ เดือนต่อมาพระองค์พีระจึงได้ทำการหย่ากับหม่อมชลิตาโดยตกลงกันว่า หม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์จะอยู่ภายใต้การดูแลของหม่อมชลิตาจนอายุครบ ๒๑ ปี ซึ่งเหตุที่มีเรื่องขึ้นมา เนื่องจากก่อนหน้าที่มายังประเทศไทยพระองค์พีระได้ทรงพบปะกับสาลิกา กะลันตานนท์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวไทย ซึ่งทำให้หม่อมชลิตาหึงหวงเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายสาลิกา กะลันตานนท์ ก็กลายเป็นหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระไป โดยเสกสมรสกันในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ส่วนพระโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชที่เกิดกับหม่อมชลิตาคือหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่มีอายุเพียง ๑๗ ปี แต่บางแห่งก็กล่าวว่าเสียชีวิตเมื่อมีอายุ ๒๑ ปี ล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ หม่อมชลิตาในวัย ๙๔ ปี ใช้ชีวิตบั้นปลาย ณ บ้านพักคนชราในบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าถึงหม่อมชลิตาถ่ายทอดผ่านเฟสบุ๊คของคุณ Nick de Marzo ว่า หม่อมชลิตาที่ผมได้พบในวันนี้เธอยังคงความสวยสง่างามและดูไม่เหมือนคนอายุ ๙๔ ปีเลย เธอนั่งมาในรถเข็นเนื่องจากเดินไม่สะดวก แต่ความจำทุกอย่างยังดี พอเธอเจอผมครั้งแรกเธอก็ยิ้มและยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำว่า สวัสดีค่ะ
เลขาของผมที่ชื่อมาเรีย ซึ่งเป็นผู้ติดต่อค้นหาจนเจอได้บอกผมว่า หม่อมชลิตานั้นสมัยสาวๆเธอสวยระดับดาราฮอลลีวู๊ด หรือ สวยแบบนางงามจักรวาลเลยทีเดียว
หม่อมชลิตาย้อนหลังไปสักประมาณ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว เธอได้เคยมาติดต่อสถานทูตไทยในกรุงบัวโนสไอเรส พร้อมทั้งได้นำภาพถ่ายต่างๆซึ่งเป็นความทรงจำในอดีตของเธอกับพระองค์พีระ มาให้ทางสถานทูตดู แต่ต่อมาภาพถ่ายบางส่วนของเธอได้ถูกนักข่าวอาร์เจนจากนิตยสารแห่งหนึ่งเอาไปแล้วไม่คืนเธอจนบัดนี้
ตอนนั้นเธอได้แวะมาถามที่สถานทูตไทยว่า ทางรัฐบาลไทยมีเงินค่า pension (เบี้ยบำนาญ) ให้กับเธอซึ่งเคยเป็นอดีตชายาของพระองค์พีระหรือไม่ แต่เนื่องจากไม่มีกฏใดรองรับเนื่องจากเธอได้หย่าขาดจากพระองค์พีระแล้ว ซึ่งเธอก็ไม่ว่าอะไร และหลังจากนั้นเธอก็ขาดการติดต่อไป จนกระทั่งวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ผมได้เดินทางไปพบเธออีกครั้งหนึ่งที่สถานพักฟื้นคนชรา ผมได้ขอให้เธอเล่าถึงความทรงจำในสมัยที่เธอได้พบกับ พระองค์พีระเป็นครั้งแรก เธอบอกว่าเธอได้รับมอบหมายจาก Automobile Club de Argentina ให้มาทำหน้าที่ดูแลและลงทะเบียนนักแข่งรถ ซึ่ง ๑ ในนั้นคือ พระองค์พีระ เจ้าชายรูปงามแห่งประเทศไทย ซึ่งได้เดินทางไปแข่งรถที่อาร์เจนตินาด้วย หลังจากที่ได้พูดคุยทำความรู้จักกับพระองค์พีระในช่วงที่พระองค์มาแข่งรถที่อาร์เจนตินา เธอก็รู้สึกว่าพระองค์พีระได้ตกหลุมรักในตัวเธอ
เธอเล่าว่าวันนึงก่อนที่พระองค์พีระจะเสด็จกลับอังกฤษ พระองค์พีระได้เดินทางไปถึงอพารต์เมนท์ที่เธอและน้องสาวได้อาศัยอยู่กับป้า พระองค์พีระได้มากดกริ่งที่บ้านพักเธอ เมื่อเธอเปิดประตูออกไปก็เจอพระองค์พีระยืนยิ้มกริ่มอยู่หน้าประตู เธอตกใจมากถึงกับอุทานว่า " What are you doing here ?" เธอบอกว่าเธอกลัวว่าป้าและน้องสาวของเธอจะต่อว่าที่เธอนัดพบเจ้าชายจากประเทศไทย เธอจึงได้ขอให้พระองค์พีระลงไปรอที่ร้านกาแฟข้างล่างตึก แล้วสักพักเธอจะตามลงไป และเมื่อเธอลงเจอพระองค์พีระ ท่านได้บอกเธอว่า ท่านชอบเธอมากและอยากให้เธอตามไปอยู่กับท่านที่อังกฤษด้วย
( พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และหม่อมเอลิซาเบธ)
ตอนนั้นเธอก็เริ่มมีใจกับพระองค์พีระเนื่องจากทรงเป็นเจ้าชายรูปงาม เป็นนักแข่งรถชื่อดัง ตรัสได้ดีทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เธอจึงได้ตอบตกลงไปด้วย โดยเธอไม่ทราบเรื่องราวระหว่างพระองค์พีระ กับ หม่อมซีริล (ชายาองค์แรกชาวอังกฤษ) เลย เธอตามไปอยู่ที่อังกฤษสักพัก พระองค์พีระก็ทรงหย่าขาดจากหม่อมซีริล และได้จดทะเบียนแต่งกับเธอที่กรุงปารีส โดยมีการจัดงานเลี้ยงที่สถานทูตไทย ณ กรุงปารีส มีพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และหม่อมเอลิซาเบธ ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย
ขอบคุณที่มาจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/หม่อมชลิต้า_ภาณุพันธุ์_ณ_อยุธยา
เพจ ประวัติศาสตร์ชาติไทยก่อนและหลัง พ.ศ ๒๔๗๕ อ้างอิงจาก เฟสบุ๊คของคุณ Nick de Marzo






