ปรากฏการณ์ธรรมชาติ...สุดอัศจรรย์ "หมอกธุมเกตุ" !!! ปาฏิหาริย์จากฟากฟ้าที่ยากหาคำตอบ...ลางจากธรรมชาติ ในวันที่น้ำตานองแผ่นดิน !!!

ปรากฏการณ์ หมอกธุมเกตุ นี้ ตามตำราโบราณว่า เป็นหมอกที่มีสีประดุจควันไฟ ดอกไม้เพลิง จะเห็นได้ตั้งแต่เช้าไปจนเที่ยง หรือ ตั้งแต่เที่ยงไปจนบ่ายหนึ่งบ่ายสองโมง ถือว่าเป็นหมอกที่ร้ายนัก นัยว่าเกิดเพราะเกตุสำแดงเหตุให้ปรากฏ ที่ในตำราเขากล่าวถึง ว่ามักจะมีในเวลาที่มีเหตุใหญ่ๆเกิดขึ้น ถือว่าเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ยังหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หากย้อนกลับไปในอดีตนั้น หมอกธุมเกตุ เคยเกิดขึ้นในวันสวรรคตของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งครั้งนั้นประชาชนทั้งชาติหลั่งน้ำตาพร้อมกัน ถึงขนาดเขียนบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า เป็นวันที่ไม่มีการเกิดคดีต่างๆในประเทศเลย เพราะ ขนาดโจร ขโมย ยังไม่คิดที่จะกระทำความผิดแม้แต่นิดเดียว เพราะ ในหัวใจมีแต่ความเศร้าโศกอย่างเต็มเปี่ยม ครั้งนั้นในหนังสือประวัติศาสตร์ โดย หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้เขียนไว้ว่า 

"เมื่อพระโกศพระบรมศพ อัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทันทีนั้น ได้เกิดพายุอื้ออึง ฝนตกอย่างหนัก สายฟ้าฟาดเปรี้ยงๆ แปลบปลาบอย่างน่ากลัว ราวกับว่าฟ้าจะพิโรธและโศกเศร้าที่กรุงสยามต้องสูญเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช"

ปรากฏการณ์ของฟ้าที่ยากหาคำตอบ มักเกิดขึ้นอย่างมีความหมาย เป็นตัวแทนความเศร้าเสียใจของคนทั้งชาติได้ดียิ่งนัก ดั่งเช่น หมอกธุมเกตุนี้ หากจำกันได้เมื่อ "๑๓ ต.ค. ๕๙" ถือว่าเป็นวันที่คนไทยทั้งชาติหลั่งน้ำตา เสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้นั้น ได้เกิด หมอกขาวปกคลุมทั่วบริเวณเขตพระมหาราชวัง ครั้งนั้นถือว่าประชาชนทั่วไปเห็นกันทั้งหมด ต่างเกิดความสงสัยว่านี่คือหมอกอะไร แต่ด้วยความเสียใจที่มากล้นนั้นเอง ประชาชนทั้งประเทศจึงเข้าใจว่า ฟ้ายังเสียใจร่วมกับเรา

แต่ที่น่าแปลกใจที่สุด ในวันที่ "๑๓ ต.ค. ๖๐" ถือเป็นวันครบรอบ ๑ ปี การสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เกิดเหตุการณ์ "หมอกธุมเกตุ" อีกครั้ง ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญแล้ว นี่คือความจริงของฟ้าที่โศกเศร้า ร่วมกับเราชาวประชา ราวกับว่าน้ำตาของประชาชนทั้งประเทศ ส่งถึงฟ้ากว้างใหญ่ และทำให้เชื่อได้ว่า พ่อยังคอยดูพวกเราอยู่เสมอ และ ตลอดไป

ปรากฏการณ์ หมอกธุมเกตุ นี้เคยมีผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ Bigg Sirirojwong ได้ถ่ายไว้เมื่อ ปี ๕๙ และ ปี ๖๐ เป็นภาพที่แชร์ต่อกันเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นภาพที่ได้อารมณ์ความรู้สึกมากๆเลยทีเดียว ทั้งยังได้เขียนข้อความ แสดงความรู้สึก ว่า...

รุ่งอรุณของวันที่ 13 ตุลาคม 2560 วันครบรอบวันสววรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ผมตื่นขึ้นมาเช้ากว่าปกติมองออกไปนอกระเบียงห้องมุมเดิมที่มองไปเห็นพระบรมมหาราชวัง ยกมือพนมไหว้พระองค์ท่านเหมือนที่เคยทำมาทุกๆวัน แต่วันนี้รู้สึกใจหาย ย้อนรำลึกถึงวันเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว
บรรยากาศเช้านี้มีหมอกปกคลุมขมุกขมัว ทำให้ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ และคิดถึงพระองค์ท่านมากกว่าทุกๆวัน วันเวลา ๑ ปี ยังไม่ทำให้เราคลายเศร้าใจไปได้เลย หมอกในยามเช้าวันนี้ประหนึ่งจะเป็นการไว้อาลัยพระองค์ท่าน หรือว่าเป็นหมอกตามฤดูกาล สุดจะหาคำตอบได้ แต่ก็ทำให้รำลึกถึงวันนี้ในปีที่แล้ว "วันที่เราทุกคนร้องไห้"
ธ สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

โดยคุณ จิรัสย์ พิพัฒน์วศิน ได้เขียนบทความ สภาวะอากาศกรุงเทพขณะนั้น ไม่ได้ช่วยให้เกิดหมอกได้ ผ่านเวป www.iurban.in.th เมื่อปี ๒๕๕๙ ไว้ว่า...

ในวันนี้ปีที่แล้ว (๒๕๕๙) ตอนผมกับภรรยาได้ไปรับเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ท้องสนามหลวงจากศิริราชมาประทับที่พระบรมมหาราชวัง สภาวะอากาศกรุงเทพไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเกิดหมอกได้เลย แต่ว่าวันนั้นประเทศไทยก็ได้มีหมอกธุมเกตุเกิดขึ้นในกรุงเทพ
“หมอกน่าจะเกิดตอนความชื้นสัมพัทธ์สูง (น่าจะเกือบๆ ๑๐๐%) ลมสงบ และฟ้าโปร่ง ณ เวลาที่เกิดหมอก ลมประมาณ ๗.๔ km/h ยังถือว่าลมสงบ เงื่อนไขนี้โอเค แต่ท้องฟ้าระบุว่ามีเมฆมาก ซึ่งไม่น่าเกิดหมอก ที่สำคัญความชื้นสัมพัทธ์ช่วงนั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ ๗๐% เอง อย่างมากก็ไม่เกิน ๘๕% ของช่วง ๗ โมงเช้า และถึงจะบอกว่าเข้าหน้าหนาว แต่กรุงเทพตอนนั้นก็ไม่ได้หนาวอะไรเลย ก็อากาศปกติของกรุงเทพนั่นแหละ มี ๓ ฤดู ไม่ค่อยร้อน/ร้อน/ร้อนมาก ผมว่าการเกิดหมอกในเวลานั้นมันมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยครับ มันต้องมีเงื่อนไขบางอย่างที่เฉพาะเวลา และเฉพาะสถานที่จริงๆ ถึงจะเกิดได้”

อ้างอิงข้อมูลจาก - pantip.com , Bigg Sirirojwong , จิรัสย์ พิพัฒน์วศิน www.iurban.in.th , th.wikipedia.org
ภาพสวยๆจาก - Eddy Phongphakthana , Bigg Sirirojwong