- 16 พ.ย. 2560
"ผีปอบ" ตำนานแห่งผีสุดเฮี้ยน!! เป็นได้ทั้ง ชาย-หญิง. "เรื่องจริง" หรือ "ใส่ไคล้"ฤา...ใช่เพียงแค่ตำนานความเชื่อ?
วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเรื่องราว”ผีปอบ ตำนานผีสุดเฮี้ยน!! แห่งภาคอีสาน”ค่ะ ปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทยเรามาแต่สมัยโบร่ำโบราณ โดยเฉพาะในพื้นที่แถบภาคอีสาน ต่างเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบ ๆ สด ๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า "คะลำ" ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
โดยปอบ จะเป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือ หรือ กองกอย แต่ปอบคือจิตวิญญาณมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเข้าแฝงร่างสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และใช้ร่างหรือรูปลักษณ์ของคนๆนั้น ไปกระทำการไม่ดีต่างๆ และเชื่อกันว่า หากวิญญาณปอบเข้าสิงสู่ผู้ใด จะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดา ๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า "ใหลตาย"
ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบนั้นเป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้าหรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณ บุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกชุมชนเลยทีเดียวค่ะ
ผีปอบ หรือการเป็นผีปอบ มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีวิชาทางไสยศาสตร์และมีมนต์ดำที่แก่กล้า สามารถใช้วิชาเหล่านั้นเพื่อไปทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ความตายได้ อาทิ การทำเสน่ห์ยาแฝด การเสกหนังควายเข้าท้อง การเสกตะปูเข้าท้อง หรือการใช้มนตราเพื่อบังคับภูติ ผี วิญญาณ ให้เข้าไปสิ่ง หรือกระทำในสิ่งที่ตนต้องการ เรื่องราวของผีปอบนั้นถูกเล่าขานกันมาเป็นเวลานาน และได้มีการถ่ายทอดเรื่องราวของผีปอบผ่านรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร หรือภาพยนตร์ ซึ่งมีความแตกต่างกันไป แต่ในวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวความเป็นมาว่าผีปอบนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
พระพุทธเจ้าได้ทรงระบุว่า วิชาที่เป็นไสยเวทย์มนต์ดำเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเดียรฉานวิชา ทำให้ผู้ที่มีอาคมจะต้องมีข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วยเสมอ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการละเมิดในข้อห้ามดังกล่าวโดยเด็ดขาด หากมีการละเมิด หรือกระทำผิดในข้อปฏิบัติ ชาวอีสานจะเรียกว่า “คะลำ” หรือ “ผิดครู” ซึ่งก่อให้เกิดโทษหนัก วิญญาณของบรมครูจะลงโทษคนที่ละเมิดข้อปฏิบัติโดยการสั่งให้ไปเป็นผีปอบ หรืออาจมองได้ในอีกแง่หนึ่ง ผู้ที่จะกลายเป็นผีปอบได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ใช้วิชาอาคมอย่างหนัก และใช้ไสยเวทย์ดังกล่าวไปทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป ตลอดจนการกระทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ จนกระทั่งอาถรรพ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตนเองจนกลายเป็นผีปอบไปในที่สุด
ประเภทของผีปอบ
ผีปอบสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท โดยมีลักษณะทางกายภาพที่สามารถสังเกตเห็นได้ดังนี้
• ผีปอบธรรมดา คือ คนที่มีร่างของผีปอบสิงสู่อยู่ เมื่อบุคคลเหล่านี้ได้ตายไป ผีปอบที่สิงอยู่ในร่างก็จะสลายตามไปด้วย
• ผีปอบเชื้อ คือ หากในครอบครัวใดที่มีพ่อแม่เป็นผีปอบ เมื่อตายไป ลูกหลานจะต้องสืบทอดเชื้อสายการเป็นผีปอบต่อไปด้วย หรือในอีกแง่หนึ่งก็อาจเป็นการสืบต่อทางพันธุกรรมที่ไม่ว่าจะเต็มใจ หรือไม่เต็มใจก็ตาม ก็ต้องรับสืบทอดต่อกันไปไม่มีวันจบสิ้น
• ผีปอบแลกหน้า คือ ผีปอบที่มีความเจ้าเล่ห์ มักชอบโยนความผิดไปให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาที่ผีปอบประเภทนี้เข้าไปสิงใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อถูกถามว่ามีผู้ใดเลี้ยง ผีปอบประเภทนี้จะไม่ยอมบอกความจริง แต่จะไปพูดจาโทษคนนั้นคนนี้โดยผู้ที่ถูกกล่าวถึงไม่ทราบเรื่องอะไรเลย
• ผีปอบกักกึก คือ ผีปอบที่ไม่ยอมพูดจนกว่าจะมีคนถาม หรือจนกว่าจะมีญาติพี่น้องตามหมอผีมาขับไล่ ผีปอบจึงจะยอมเปิดปากพูดความจริงว่าใครเลี้ยงดูผีปอบตนนี้ไว้ หรือมีใครใช้ให้มาเข้าสิง ซึ่งในภาษาอีสานนั้น คำว่า “กึก” แปลว่า ใบ้
ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง
ชาวอีสานมักเรียกผู้ถูกผีปอบเข้าสิงว่า “ปอบเข้า” โดยจะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันไป บางคนอาจแสดงลักษณะอาการกร้าวร้าว ดุร้าย บางคนอาจนอนซมคล้ายกับคนป่วยไข้หนัก แต่บางคนก็อาจจะร่ำไห้ รำพึงรำพันไปต่างๆ นาๆ ลักษณะอีกหนึ่งอย่างที่เราสามารถพบเห็นได้อยู่ทั่วไป คือ ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงมักจะเรียกหาอาหารที่สุกๆ ดิบๆ อาทิ ตับหมู ตับไก่ เวลาที่กินก็จะมูมมาม แสดงความตะกละออกมา และกินจุได้มากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อญาติพี่น้องที่รู้ว่ามีคนที่ป่วยนั้นกำลังถูกผีปอบเข้าสิงก็มักจะไปตามหมอผีให้มาช่วยขับไล่
จุดกำเนิดของผีปอบตามความเชื่อ
ว่ากันว่าผีปอบที่คนโบราณ หรือคนในยุคปัจจุบันนี้พบกันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณผีปอบที่เกิดจากคนที่เรียนวิชาปอบที่ตายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ เมื่อตนมีชีวิตอยู่ยึดติด ยึดมั่นในวิชาอย่างไร พอตายจากโลกนี้ไปก็ยังเป็นเช่นนั้น เช่น ยังอยากกินเนื้อดิบๆ เครื่องในสดๆ ก็เลยหาวิธีเข้าสิงคนเพื่ออาศัยร่างเหล่านั้นในการหากินของดิบๆ สดๆ ต่อไป มีภาวะคล้ายๆ กับ “สัมภเวสี” หรือ “อสูรกาย” ซึ่งผีปอบเหล่านี้เมื่อแผ่ส่วนบุญไปให้ พูดคุยขับไล่ก็จะออกง่ายกว่าพวกที่เรียนวิชาแล้วกลายเป็นผีปอบ หรือจำพวกที่มีการสืบทอดแท้ๆ หากเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่มีวิชาอาคมมาก และมีจิตแข็ง พลังจิตสูงจะไล่ยาก อีกทั้งยังสามารถเอาชีวิตคนที่มีเวรกรรมเนื่องต่อกันได้ เรียกว่า “ผีปอบเจ้ากรรมนายเวร” โดยผีปอบประเภทนี้สามารถทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้สามารถอโหสิกรรมได้
ทีนี้เมื่อคุณผู้ชมผู้อ่านได้ทราบประวัติความเป็นมาของการเป็น ผีปอบ กันแล้วเป็นยังไงกันบ้างคะ? ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้เราจะไม่ค่อยได้เห็นพิธีการไล่ผีปอบกันสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพิธีกรรมเหล่านี้จะหายไปจากสังคมไทยเราเสียทีเดียวนะคะ แต่สิ่งที่เราทุกคนทำได้ก็คือการใช้ชีวิตให้อยู่บนความมีสติ,ความไม่ประมาท,ความซื่อสัตย์สุจริต คิดดี ทำดี พูดดี และหมั่นทำบุญทำทานกันอย่างสม่ำเสมอ เราจะได้อยู่รอดปลอดภัย โดยที่ไม่มีภัยอันตรายใดใดจะสามารถมากร้ำกรายทำลายทำร้ายเราได้ค่ะ
ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,
และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์






