- 12 ม.ค. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
เนื่องในวันที่ ๑๒ มกราคม เป็นวันคล้ายวันละสังขาร หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์สิ้นกิเลส เป็นพระสงฆ์ที่มีความเด้ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก มีผู้ศรัทธาและเคารพนับถือท่านมาก ท่านสามารถระลึกได้กลับไปอย่างน้อย ๗ ชาติ ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่ายในชีวิตฆราวาส จึงตัดสินใจออกบวชตลอดชีวิต นอกจากนี้ท่านยังเป็นธรรมทายาทของหลวงปู่มั่น เป็นศิษย์ร่วมยุคกับหลวงปู่ดู่ ด้วย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
หลังจากบวช เมื่อออกพรรษาแรกแล้วหลวงปู่บุดดาได้ออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวก เจริญสมณธรรมตามอัธยาศัยเพียงองค์เดียว หลวงปู่บุดดามุ่งปฏิบัติกรรมฐานพิจารณากายภายในอยู่เสมอ ข้อวัตรปฏิบัติเคยทำอย่างไรก็ยังคงทำมิได้ขาด ท่านทำความเพียรอยู่โดยตลอด บางครั้งบางคราว กิเลสราคะอันมักจะเกิดขึ้นมาให้รู้ได้ว่ายังมีอยู่ท่านก็ได้เพียรพยายามดับมันด้วยอุบายวิธีต่าง ๆ
หลวงปู่บุดดาท่านจาริกธุดงค์บำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด จนถึงพรรษาที่ ๔ ท่านได้ออกธุดงค์อยู่ในป่าแถบเทือกเขาภูพานนั้น ท่านได้พบกับพระธุดงค์องค์หนึ่งคือ พระสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งมีอายุแก่กว่าท่าน ๑๐ ปี พรรษามากกว่า ๑ ปี ทันทีที่ได้พบหน้าท่านระลึกชาติได้ว่าพระสงฆ์ พรหมสโร เคยเป็นบิดาในอดีตชาติ ท่านจึงเรียกพระสงฆ์ พรหมสโร ว่าคุณพ่อสงฆ์ หลวงปู่บุดดากับพระสงฆ์ พรหมสโร มีอัชฌาศัยตรงกัน หลังจากนั้นท่านได้ออกจาริกร่วมธุดงค์มาด้วยกัน จากอีสานมาสู่ภาคกลาง ผ่านตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี นครสวรรค์พบชัยภูมิคือ ภ้ำภูคา บนภูคา มีบรรยากาศสงบ ร่มเย็นและวิเวกยิ่ง สถานที่สัปปายะ เหมาะแก่การเจริญกรรมฐานยิ่ง พอใกล้พรรษาทั้งสองจึงได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองคู พอออกพรรษาก็กลับมาที่ถ้ำภูคาอีกครั้ง ณ ที่ถ้ำภูคานี้เองที่หลวงปู่บุดดาในพรรษาที่ ๔ และพระสงฆ์ พรหมสโร ในพรรษาที่ ๕ ได้พำนักอาศัยบำเพ็ญเพียรจนได้รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจธรรมทั้งสององค์ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ท่านสามารถระลึกชาติได้ถึง ๗ ชาติตั้งแต่ท่านยังเด็กๆ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
มีครั้งหนึ่งหลวงปู่ท่านได้เล่าว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่าโตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันจึงไปอู้สาวผู้นั้นแทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า
"หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตีและถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตายพอมาชาตินี้มารักเขาทำไม ???"
หลวงปู่ก็มองเห็นอดีตตนเองได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาวขณะนอนป่วยอยู่มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ท่านร้องเรียกเด็กๆพวกเด็กจึงไล่ตีหมาตัวนั้นและจับหมาไปผูกกับรั้วไว้จนหมาตัวนั้นอดอาหารและตายไป
เมื่อชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า
"นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือนี่ ???"
เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้หลวงปู่ปรารภเสมอว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้วท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมากมาตั้งแต่เด็ก
นอกจากนี้หลวงปู่บุดดาท่านได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่บรรลุธรรมว่า คืนนั้นขณะที่ท่านทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่ โดยนั่งลืมตาคุยกันปกตินี่เอง แล้วหันหน้าเข้าสนทนากันอย่างออกรสชาติอยู่นั่นเอง จู่ ๆหลวงปู่บุดดาก็เงียบเสียงไปเฉยๆ นั่งลืมตาค้างอยู่ พระสงฆ์ พรหมสโร ท่านก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นมองดูอยู่ ปกติท่านเป็นพระขี้สงสัย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ก็แปลกใจที่ทำไมหลวงปู่บุดดาจึงเงียบเสียงไปเฉยๆ ก็ถามหลวงปู่บุดดาว่า "เอ๊ะ เป็นอะไรไป"
หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาคงเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น เป็นอันว่าหลวงปู่บุดดาท่านได้จบกิจพระศาสนา ทำอาสวะให้สิ้นต่อหน้าพระสงฆ์ พรหมสโร นั่นเอง
หลังจากนั้น ๓ วัน ในตอนเช้าก่อนที่จะออกบิณฑบาต พระสงฆ์ พรหมสโร ก็มาบอกต่อหลวงปู่บุดดาว่า "ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ เน้อ" หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า "โอ๊ย มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ" เป็นอันว่าพระสงฆ์ พรหมสโร ท่านได้จบกิจบรรลุธรรมในคืนก่อนนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.dharma-gateway.com