เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

            ในอดีตเคยมีจระเข้ที่ออกอาละวาดไล่กินคนมาแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยน้ำท่วมเมืองแต่อย่างใด จระเข้ที่กล่าวถึงในครั้งนี้มีชื่อเรียกกันจนคุ้นหูคนไทยจนถึงปัจจุบันพวก มันคือ " ไอ้ด่าง " จระเข้ที่ชื่อไอ้ด่างมีอยู่ด้วยกัน ๒ ตัว ตัวแรกคือ "ไอ้ด่างเกยชัย" ส่วนอีกตัวคือ "ไอ้ด่างคลองบางมุด" ซึ่งทั้งสองตัวเป็นจระเข้กินคนที่อาละวาดสร้างความหวาดผวาให้กับผู้คนในยุคสมัยนั้น และนอกจากนี้ เมืองพิจิตรยังมีตำนานจระเข้กินคน อย่าง พญาชาลวัน ที่เป็นตำนานที่น่าสะพรึงกลัวของชาวบ้านในสมัยนั้นอีกด้วย

 

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

๑.พญาชาลวัน

           ชาละวัน เป็นจระเข้ใหญ่เลื่องชื่อแห่ง แม่น้ำน่านเก่าเมืองพิจิตร สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยที่พิจิตรมีเจ้าเมืองปกครอง ตามตำนานกล่าวว่า มีตายายสองสามีภรรยา ออกไปหาปลาพบไข่จระเข้ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง จึงเก็บมาฟักเป็นตัวแล้วเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ เพราะยายอยากเลี้ยงไว้แทนลูก ต่อมาจระเข้ตัวใหญ่ขึ้นจึงนำไปเลี้ยงไว้ในสระใกล้บ้านหาปลามาให้เป็นประจำ ต่อมาตายายหาปลามาให้เป็นอาหารไม่พออิ่ม จระเข้ตัวนั้นจึงกินตายายเป็นอาหาร เมื่อขาดคนเลี้ยงดูให้อาหาร จระเข้ใหญ่จึงออกจากสระไปอาศัยอยู่ในแม่น้ำน่านเก่าซึ่งอยู่ห่างจากสระตายายประมาณ ๕๐๐ เมตร

           แม่น้ำน่านเก่าในสมัยนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลานานาชนิดและมีน้ำบริบูรณ์ตลอดปี ขณะนั้นไหลผ่านบ้านวังกระดี่ทอง บ้านดงเศรษฐี ล่องไปทางใต้ ไหลผ่านบ้านดงชะพลู บ้านคะเชนทร์ บ้านเมืองพิจิตรเก่า บ้านท่าข่อย จนถึงบ้านบางคลาน จระเข้ใหญ่ก็เที่ยวออกอาละวาดอยู่ในแม่น้ำตั้งแต่ย่านเหนือเขตวังกระดี่ทอง ดงชะพลู จนถึงเมืองเก่า แต่ด้วยจระเข้ใหญ่ของตายายได้เคยลิ้มเนื้อมนุษย์แล้ว จึงเที่ยวอาละวาดกัดกินคนทั้งบนบกและในน้ำไม่มีเว้นแต่ละวัน จึงถูกขนานนามว่า "คุณตาละวัน" ตามสำเนียงภาษาพูดของชาวบ้านที่เรียกตามความดุร้ายที่มันทำร้ายคน ไม่เว้นแต่ละวัน ต่อมาก็เรียกเพี้ยนเสียงเป็น "คุณชาละวัน" และเขียนเป็น "ชาลวัน" ตามเนื้อเรื่องในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

 

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

            ชื่อของชาละวันแพร่สะพัดไปทั่วเพราะเจ้าชาละวันไปคาบเอาบุตรสาวคนหนึ่งของเศรษฐีเมืองพิจิตรขณะกำลังอาบน้ำอยู่ที่แพท่าน้ำาหน้าบ้าน เศรษฐีจึงประกาศให้สินบนหลายสิบชั่ง พร้อมทั้งยกลูกสาวที่มีอยู่อีกคนหนึ่งให้แก่ผู้ที่ฆ่าชาละวันได้ ไกรทอง พ่อค้าจากเมืองล่าง สันนิษฐานว่าจากเมืองนนทบุรี รับอาสาปราบจระเข้ใหญ่ด้วยหอกลงอาคมหมอจระเข้ ถ้ำชาละวันสันนิษฐานว่าอยู่กลางแม่น้ำน่านเก่า ปัจจุบันอยู่ห่างจากที่พักสงฆ์ถ้ำชาละวัน บ้านวังกระดี่ทอง ตำบลย่านยาว ไปทางใต้ประมาณ ๓๐๐ เมตร ทางลงปากถ้ำเป็นโพรงลึกเป็นรูปวงกลมมีขนาดพอดี จระเข้ขนาดใหญ่มากเข้าได้อย่างสบาย คนรุ่นเก่าได้เล่าถึงความใหญ่โตของชาละวันว่า เวลามันอวดศักดาลอยตัวปริ่มน้ำขวางคลอง ลำตัวของมันจะยาวคับคลอง คือหัวอยู่ฝั่งนี้ หางอยู่ฝั่งโน้น เรื่องชาละวันเป็นเรื่องที่เลื่องลือมาก จน ร.2 ทรงสนพระทัยในเรื่องเล่าขานนี้และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกเรื่อง "ไกรทอง" และให้นามจระเข้ใหญ่ว่า "พญาชาลวัน"  อนึ่ง พญาชาลวัน เป็นตำนานเล่าขานมาแต่โบราณ ไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของจระเข้ยักษ์ตัวนี้แต่อย่างใด

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

๒.จ้าววังโนราห์

           คลองอีปันซึ่งเป็นคลองธรรมชาติแยกจากแม่น้ำตาปีในจังหวัดสุราษฎธานี นั้น เป็นคลองที่กล่าวกันว่าในอดีตชุกชุมด้วยจระเข้ใหญ่น้อยมากมาย และหนึ่งในนั้นที่ถือว่าเป็นตำนานเล่าขานของสองฝั่งคลองอีปันก็ คือสถานที่ ที่เรียกกันว่า “วังโนราห์” 

           เหตุที่ได้ชื่อนี้มีเรื่องเล่าว่า ณ ค่ำคืนหนึ่งคณะมโนราห์กลับจากการไปแสดงในยามดึกจำต้องล่องเรือสำปั้นใหญ่ ผ่านเข้าสู่เวิ้งน้ำกว้างของคลองอีปัน ทันใดนั้นเองก็ปรากฏจระเข้ใหญ่อันซ่อนเร้นกายอยู่ในวังน้ำจู่โจมหมุนเรือจน คว่ำและขย้ำฉีกกินเหล่ามโนราห์เคราะห์ร้ายจนหมดทั้งลำเรืออย่างสยองขวัญ  สถานที่แห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและกระแสโลหิตอันไหลหลั่งเต็มท้องธาร  ณ ที่แห่งนั้นจึงได้รับการเรียกขานกันว่า“วังโนราห์” และเรียกขานขนานนามจ้าวผู้ครอบครองวังน้ำแห่งนั้นว่า “จ้าววังโนราห์”  

          จากวันนั้นถึงวันนี้นับเป็นกาลเวลาล่วงเลยผ่านไปไม่นานนักก็ปรากฏเหยื่อเคราะห์ร้ายอีก ๒ รายซ้อนๆ กัน ทั้งคู่เป็นชายชาวบ้านน้ำและเป็นคู่หูคู่เกลอกันมายาวนาน วันหนึ่งทั้ง ๒ ออกไปตัดหวายตามปกติเพื่อนำมาจุลเจือครอบครัวบริเวณทางตอนเหนือของคลองแล้ว ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านแถบละแวกดังกล่าวพร้องผู้ใหญ่บ้านต่างระดมลูกบ้านออกตามหาแต่ก็ไม่ เจอ เพียงแต่ปรากฏพบแต่ลำเรือของเกลอทั้ง ๒ ที่ถูกคว่ำจนจมและแตกละเอียดดั่งโดนแรงมหาศาลของพญาสัตว์เข้าขย้ำเล่นงาน จนชาวบ้านต่างลงความเห็นว่า ชายทั้ง ๒ โดนจ้าววังโนราห์คาบไปกินเสียแล้ว
     

          อีกไม่กี่วันต่อมาก็ปรากฏหญิงสาวชาวน้ำพายเรือกำลังจะกลับบ้านแต่เมื่อผ่าน วังโนราห์แล้วก็หายตัวไปเฉยๆ ชาวบ้านพบเพียงเรือพายที่คว่ำพร้อมกับมีรอยแตกจากการขบกัดด้วย แรงมหาศาล เสร็จไปอีกหนึ่ง หลังจากได้ลิ้มรสชาติเนื้อมนุษย์มาหลายๆครั้ง จระเข้ร้ายเริ่มรู้สึกติดใจจึงเริ่มออกอาละวาดอีกคราวนี้เหยื่อของมันเป็น ชายชราผู้มีอาชีพหาของป่าถูกคว่ำเรือ และลากไปกินอีกราย ท่ามกลางความหวาดกลัวของชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านจึงทำการว่าจ้างหมอปราบจระเข้ฝีมือฉกาจมาจากแหล่งต่าง ๆ แต่ก็ดู เหมือนว่าจ้าววังโนราห์จะรู้ทัน มันกบดานเงียบเหมือนนกรู้ จนชาวบ้านต่างเล่าลือกันว่ามันเป็น “จระเข้ผีสิง” แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ด้วยความสามารถของ “โอม ชุมทอง” พรานจระเข้หนุ่มฝีมือดีที่เข้ามาล่าจ้าววังจนมันต้องเป็นฝ่ายหนีหัวซุกหัวซุนบ้างและถูกเผด็จศึกลงได้ในไม่ช้า ความสงบสุขของที่นี่จึงหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเป็นเหลือเพียงตำนานเล่าขาน ถึงความโหดร้ายอำมหิตของจระเข้ร้ายที่ชื่อ “จ้าววังโนราห์” เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

       ในปีพ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๗ ชาวบ้านในอ.หลังสวน จ.ชุมพร เเทบไม่กล้าสัญจรทางน้ำกัีนเลยเพราะมีจระเข้ยักษ์ ดักทำร้าย กิน คนหาปลา ชาวบ้าน เด็ก ล้วนตกเป็นเหยื่อ

       จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน จระเข้ตัวนี้มีขนาดใหญ่มากและดุร้ายถึงขั้นไล่กัดผู้คนที่สัญจรไปมา ไล่กัดกระทั่งคนที่ยืนอยู่บนฝั่งจนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือหรือเดินเลาะริมตลิ่ง ไอ้ดางบางมุด เป็นจระเข้พันธุ์ “ไอ้เคี่ยม” ซึ่งเป็นจระเข้ตีนเป็ด หรือพันธุ์ทองหลาง ตัวดำเมื่อมสนิท มีสีขาวที่คอและตามตัวเวลามันโผล่ลอยตัวขึ้นมาเหนือน้ำ นั้นจะมองเห็นสีขาวพาดที่บริเวณคอ มีผู้คนนับไม่ถ้วนตกเป็นเหยื่อของมัน สภาพคลองบางมุดในสมัยนั้น สองข้างทางมีป่าโกงกางสลับด้วยป่าจากเป็นระยะ ตอนบนของคลองแคบ แต่น้ำลึกไม่ต่ำกว่า ๖ เมตร บางแห่งเช่นทางโค้ง จะมีวังน้ำลึกซึ่งมีจระเข้อาศัยอยู่ชุกชุม การล่ามันทำได้ยากเพราะมันเป็นจระเข้ที่ฉลาดมากและเเม่น้ำเป็นเเม่น้ำที่ยาวเเละกว้างจนทางการต้องลงมาล่าเองโดยเป็นการสนธิกำลังกันระหว่างตำรวจ - ทหาร - ชาวบ้านอาสาสมัคร ใช้เรือกว่าร้อยลำ ในการไล่ล่า  ท่ามกลางมรสุม และพายุดีเปรสชั่นในอ่าวไทย ที่โหมทั้งฝนและลม ทำให้น้ำท่วมในเขตชุมพรและภาคใต้ขณะนี้ ข่าวร้ายได้เกิดขึ้นในคลองบางมุด อำเภอหลังสวน กลายเป็นดินแดนแห่งจระเข้ยักษ์อีกครั้ง“ไอ้ด่าง” ได้อาละวาดลอยขึ้นมากันกินคนอีก ในคลองเขาปีบ เขตติดต่อระหว่างอำเภอหลังสวนกับอำเภอสวี ทำให้มีคนมากมายกลายเป็นเหยื่อของมันในช่วงนั้น

 

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

          นายช้วน พิมาน บ้านอยู่ริมคลองเขาปีบ ได้ออกจากบ้านไปตัดกล้วยมาเลี้ยงหมู ในขากลับนั้น นายช้วนแบกต้นกล้วยเดินข้ามคลองเขาปีบ เดินผ่านน้ำที่กำลังขึ้นท่วมสะพาน ลึกถึงเข่า จระเข้ยักษ์ซึ่งซุ่มตัวอยู่พุ่กัดเข้าตรงเข่านายช้วน แล้วลากลงใต้น้ำทันที ขณะที่คณะล่าจระเข้ไปถึงได้พบว่า ชาวบ้านประมาณ ๑๐๐ กว่าคน พร้อมด้วยอาวุธปืนและฉมวกกำลังค้นหาจระเข้ยักษ์กับศพนายช้วน ตีแนวขนานทั้ง ๒ ฝั่งคลองเขาปีบอย่างชุลมุน ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบศพนายช้วนอยู่ใต้รากไม้ริมตลิ่ง ถูกไอ้ด่างจระเข้ยักษ์ลากไปขัดไว้และไม่มีทางที่จะดึงออกมาได้ ต้องให้นักประดาน้ำดำลงไปใช้เชือกผูกศพแล้วใช้คนกว่า ๒๐ คนดึงอยู่พักใหญ่จึงลากศพนายช้วนมาได้ปรากฏว่าศพนายช้วนไม่มีส่วนใดเหลือเป็นชิ้นดีให้เห็นเลยเพราะถูกจระเข้กัดกินด้วยความหิวกระหายทุกคนได้แต่สังเวชและอนาถใจไปตาม ๆ กัน

       จากแหล่งที่พบศพของนายช้วนนั้นเอง คณะนักล่ากับชาวบ้านจึงรู้ว่า เป็นบริเวณแอ่งน้ำลึกหรือวังจระเข้เก่าที่ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์ใช้เป็นที่หลบซ่อน พอรู้แหล่งซ่อนของจระเข้ยักษ์ คณะนักล่าแห่งค่ายทหารบกชุมพรได้ให้ชาวบ้านทุกคนหลบซุ่มอยู่บนตลิ่งแล้วใช้ระเบิดซี ๓  หย่อนลงไปในบริเวณวังจระเข้ยักษ์ ๓ นัด เสียงระเบิดดังก้องสนั่นหวั่นไหว

 

เพชฌฆาตแห่งลุ่มแม่น้ำ!! เปิดตำนาน "จระเข้กินคน" ที่ดุร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของคนไทย ฝันร้ายที่คนไทยมิอาจลืม !!

        ตัวไอ้ด่างลอยกระเพื่อมตามกระแสน้ำ บอกให้รู้ถึงการสิ้นอิทธิฤทธิ์ของ “ไอ้ด่าง” จระเข้ยักษ์แล้ว ทันใดนั้น ส.อ. จำนงได้ใช้ฉมวกพุ่งลงไปกลางส่วนหลัง
ของไอ้ด่าง ซึ่งทำให้มันดิ้นพลิกขึ้นมาให้เห็นทั้งตัวแต่มันไม่สามารถจะอาละวาดต่อไปได้อีกแล้ว เพราะกระดูกสันหลังของมันหักด้วยอำนาจของแรงระเบิดซี.๓ 
ชาวบ้านจึงช่วยกับเอาเชือกมัดพันธนาการตัว “ไอ้ด่าง” และลากจระเข้จอมเพชฌฆาตแห่งลำน้ำขึ้นมาบนตลิ่ง ซึ่งไอ้ด่างอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที่

       จากนั้นคณะล่าจระเข้ได้ใช้เชือกลากจระเข้ยักษ์จากคลองเขาปีบมุ่งไปยังตลาดอำเภอสวี แต่ระหว่างที่ลากมาในคลองนั้น “ไอ้ด่าง” ก็พลิกท้อง บอกถึงการจบชีวิตปิดฉากอันโหดเหี้ยมของมัน หลังผ่าท้องพบซากมนุษย์เป็นอันมาก บ่งบอกถึงความเหี้ยมโหดของมัน ซากของ"ไอ้ด่าง"ถูกซื้อขายกันในราคา ๗,๐๐๐ บาท ถูกนำไปให้คนในละแวกจังหวัดชุมพรและใกล้เคียงดู ผู้คนพากันแห่ไปดูนับหมื่นคนแม้ว่าจะมีการเก็บเงินค่าเข้าชมด้วยก็ตาม ซากของมันถูกซื้อขายต่อเปลี่ยนมือกันไปมา
จนราคาพุ่งขึ้นไปถึง ๒๓,๐๐๐ บาท (สมัยนั้นถือว่าเยอะ) โดยซากไอ้ด่างถูกขายให้นายไห้ แซ่เซ็ง เป็นเจ้าของทำให้องค์การสวนสัตว์ชวดไปอย่างน่าเสียดาย