- 30 ม.ค. 2561
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ www.tnews.co.th
เริ่มแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักพระบรมสารีริกธาตุนั้น เพราะในขณะนั้นคุณอาของข้าพเจ้า ได้มาจากท่านผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือ ตอนได้มาได้มาประมาณ๗ องค์เท่านั้น ครั้งแรกที่เห็นข้าพเจ้านึกในใจว่า ทำไมถึงเป็นเม็ดกรวด และมีลักษณะมันเลื่อม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ คือตอนนั้นใครเขาว่าเป็นพระธาตุเราก็ว่าตามเขา ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้น ๔ ปี ข้าพเจ้าก็เห็นปรากฏการณ์หนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องด้วยปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ คืนวันนั้นข้าพเจ้านอนอยู่บนบ้านทรงไทยสมัยเก่าซึ่งเป็นไม้ และเวลานอนก็จะนอนกางมุ้ง โดยจะมีหิ้งพระอยู่บนหัวนอน โดยหิ้งพระจะเยื้องจากมุ้งประมาณวาเศษ ข้าพเจ้าเอี้ยวตัวลงนอนแล้วเปิดเพลงฟังเป็นปกติ
นึกอย่างไรไม่ทราบ สายตาจากที่ไม่เคยหันไปมองที่หิ้งพระแต่ไหนแต่ไร ก็กลับต้องมอง เหมือนมีอะไรดลใจ ภาพที่เห็นติดตาติดใจ จนกระทั่งทุกวันนี้คือ แสงดวงขนาดนิ้วหัวแม่โป้งลอยจากหิ้งพระอย่างช้าๆ ลักษณะของแสงนั้นเป็นดวงสีเขียวคล้ายกับแสงเลเซอร์สีเขียวอย่างไรก็อย่างนั้นเลย ความสว่างของแสงไม่ทำให้เกิดเงากับวัตถุที่แสงนั้นลอยผ่าน ดวงไฟปริศนานี้ได้ลอยมาวนบนมุ้งที่ข้าพเจ้านอน ลักษณะการวนเป็นวงกลม กลมก็กลมจริงๆ ไม่มีบิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย และยังวนตามเข็มนาฬิกาอีก ข้าพเจ้าจับตาดูจนกระทั่งแสงนั้นลอยหายไปบริเวณชานบ้าน พอได้สติก็รีบวิ่งไปบอกคนที่บ้านว่าเมื่อ ตะกี้เห็นแสงอะไรก็ไม่รู้สวยเชียว อาของข้าพเจ้าก็เลยบอกว่า เคยเห็นเหมือนกัน ลักษณะแบบเดียวกัน แต่เพียงแค่ไม่เห็นที่มาเท่านั้นว่าลอยมาจากไหน หลังจากนั้นได้มีโอกาสได้ไปกราบครูบาอาจารย์ในโอกาสที่ท่านมากิจนิมนต์ที่บ้านข้าพเจ้า ซึ่งจะนิมนต์เป็นประจำแทบทุกปี จึงได้เล่าเหตุการณ์ถวาย และเลยถือโอกาสกราบเรียนถามท่านว่า เอท่านอาจารย์แสงที่เห็นเป็นแสงอะไรแน่ ท่านได้ให้ความกระจ่างว่า แสงที่เห็นเป็นแสงของพระบรมสารีริกธาตุทำปาฏิหาริย์ให้โยมเห็น แสดงว่าโยมมีบารมีเกี่ยวเนื่องด้วยพระธาตุ เพราะครั้งที่อาตมาไปสร้างวัดใหม่ๆ อาตมาก็เคยเห็นเหมือนกัน ข้าพเจ้าในตอนนั้นบอกตามตรงว่า ปีติมาก แม้ว่าพระพุทธองค์จะปรินิพพานไปนานมากแล้วยังมีเมตตากับข้าพเจ้า ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดก็คงจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงสงสัยว่าจะเกี่ยวเนื่องกันกับพระธาตุอย่างไร ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เพราะคิดว่าห่างไกลตัวเองมาก แค่นี้ก็ปลื้มใจมากพอแล้ว
หลังจากนั้น ๓ ปี ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบพระธาตุครูบาอาจารย์ที่บ้านคุณหญิงสุรีพันธุ์ และคุณอารยะ หวังทวีวิทย์ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากได้ไว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ข้าพเจ้าก็เลยลองอัญเชิญพระธาตุดู ท่านก็มาให้จริงๆ โดยถ้าจำไม่ผิดองค์แรกทีอธิษฐานขอ เห็นจะเป็นของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วบ้านชุมพล จังหวัด สกลนคร เพราะได้อ่านคำสอนของท่านแล้ว รู้สึกประทับใจมาก พระธาตุที่เสด็จมานั้นลักษณะเป็นแก้วใส ๑ องค์ ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่ท่านเสด็จมา เพราะครั้งนั้นข้าพเจ้าได้อธิษฐานเสี่ยงบารมีว่า ถ้ามีบุญวาสนา และ บารมีทางพระธาตุอย่างแท้จริงแล้วขอให้พระธาตุเสด็จมาโปรด ถ้าไม่มาแล้วไซร้ข้าพเจ้าจะไม่ขออีกเลย
ระยะนั้นนึกอยากได้องค์ไหนท่านก็มาๆๆ ให้ พอระยะหลังๆที่ได้อัญเชิญท่านก็ไม่มา ซึ่งตามปกติแล้วหลังจากสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้วพอลืมตามาก็จะปรากฏบนผ้าขาวที่เตรียมไว้ แต่ครั้งหลังๆนี้ หนึ่งวันก็แล้ว สองวันล่วงไปแล้ว ก็ยังไม่มา จนกระทั่งข้าพเจ้าอ่อนใจที่จะอัญเชิญต่อ แต่ก็ยังคงฉงนใจและแปลกใจว่าทำไมท่านไม่มาให้ หรือว่าเราทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรหรือเปล่า ลองมานั่งย้อนนึกดูก็ไม่มีอะไรนี่นา นึกอยู่ในใจแค่นั้น ความสงสัยก็ยังคงอยู่อีกนั่นแหละ จนกระทั่งได้คุยโทรศัพท์กับท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็เลยเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านฟัง ท่านก็พลอยตื่นเต้นไปกับข้าพเจ้า จนท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า ถ้ามีบารมีจริงแล้วทำไมถึงต้องอัญเชิญล่ะ สู้ให้ท่านมาหาเราเองไม่ดีกว่าเหรอ ข้าพเจ้าก็เลยสว่างวาบขึ้นมาในใจว่า ลูกรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดท่านจึงไม่เสด็จมา เหตุผลก็คือว่า เราไปยึดมั่นถือมั่น ในองค์พระธาตุว่าถ้าเราขอท่านต้องมาให้ และมีความประมาท มากว่าเรานี้แน่ อธิษฐานทีไรท่านก็มาให้ทุกที ในครั้งแรกที่ท่านมาๆๆให้ เพราะท่านต้องการให้ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่น ในพระพุทธศาสนา ให้มีความเชื่อว่า คุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระอริยะสงฆ์ซึ่งยังปรากฏอยู่ในโลกนี้ มิได้เสื่อมสูญหายไปไหน
เสมือนหนึ่งขนมหวานที่ล่อให้ติดใจ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มอด เริ่มทรมานให้รู้ถึงแก่นแท้ ให้รู้ถึงธรรม จนมีผู้เคยพูดว่าพระบรมสารีริกธาตุท่านเสด็จมาสอนธรรม ตอนนั้นก็ยังสงสัยว่า ท่านจะมาสอนได้ยังไงก็ท่านเป็นลักษณะเป็นก้อนกลมๆ คล้ายหินกรวดที่มีลักษณะงดงามเพียงแค่นั้นเอง บัดนี้แจ้งใจแล้วว่าท่านมาสอนได้อย่างไร ข้าพเจ้าเลยเริ่มต้นใหม่โดย ตั้งไว้ว่าเอาละนับแต่นี้ ข้าพเจ้าจะไม่อัญเชิญพระธาตุอีกแล้ว แต่ถ้าท่านเมตตาจริงท่านก็คงมาให้เอง แล้วก็หันมาภาวนา ครั้งแรกๆก็อดไม่ได้ที่จะขอท่านว่าอยากได้ ขอบารมีท่านเสด็จมาโปรดด้วยเถิด นึกในใจ ปรากฏว่าไม่มาเลยซักองค์เดียวคราวนี้ ก็เลยลองใหม่คิดว่าจิตคงจะไม่มั่นคงเท่าที่ควร ลองแล้วลองอีกก็ไม่มา ก็ตัดใจว่าคงไม่ได้ไว้แล้วละ คงไม่มีวาสนา หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้นำมาให้ บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็นำมาให้เป็นอย่างนี้ทุกทีไป ก็เลยมาย้อนคิดดูว่าคงเป็นเพราะว่ายังมีความอยากได้ท่านก็เลยไม่มาซะ แต่พอตัดใจจากองค์นั้นๆได้ ท่านคงจะว่า ทรมานมันมาพอสมควรแล้ว ให้มันหลาบจำ ว่าคราวหลังอย่าโลภ พอโลภก็จะขัดขวางความก้าวหน้าของจิต แต่พอสามารถที่จะละวางได้บ้างแล้ว ท่านถึงจะให้มาเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมต่อไป
สมัยก่อนข้าพเจ้าเคยคิดอยากจะเขียนเล่าถึงปาฏิหาริย์ของพระธาตุที่ข้าพเจ้าได้พบซึ่งมากมาย หากนำมาเล่าก็อาจยาวมากขนาดเขียนเป็นเล่มได้ แต่พอบัดนี้แล้วข้าพเจ้าคิดว่า คนทั่วไปเขามักจะเล่าถึงว่าเขาประสบปาฏิหาริย์พระธาตุอย่างไรบ้าง ซึ่งก็มีผู้เขียนมามากแล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่าทำอย่างไรต่างหากที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรด และท่านสอนธรรมอะไรบ้าง อย่างหนึ่งเลยก็คือ ศีล คือสิ่งที่สำคัญ เป็นบาทฐาน ข้าพเจ้าก็ยังต้องยอมรับว่าบางครั้งก็ด่างพร้อยไปบ้าง เพราะมิได้วิเศษวิโสอะไร เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีอวิชชาเข้าครอบงำอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถกำจัดได้ซะทีเดียว และที่สำคัญคือ สมาธิ การนั่งภาวนาดูจิตใจของตนเอง โดยไม่ต้องไปแส่ส่ายหาสิ่งภายนอกอย่างอื่น
ในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่พระธาตุเสด็จมาโปรดหรือไม่ แล้วต้องกอปรด้วยบารมีเก่าที่เกี่ยวเนื่องกับพระธาตุ เช่นเคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา หรือ เคยร่วมการสังคายนาพระไตรปิฎก ( เท่าที่ได้ฟังมา ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร) ในความคิดของข้าพเจ้า อยากจะขอให้ท่านทีได้มีโอกาสสักการบูชาพระธาตุอยู่แล้วพยายามสักการบูชาให้เกิดบุญกุศลกับตัวท่านให้มากที่สุด อยากจะขอให้ท่านมองพระธาตุท่านเสมือนว่า ท่านให้ข้อคิดต่างๆด้านธรรมะมากกว่า ที่จะมาคุยอวดกันว่า ท่านผู้ใดมีมาก ท่านผู้นั้นคือผู้ที่มีบารมีมาก เพราะพระธาตุมิใช่ของสะสมที่ไว้อวดบารมี ซ้ำยังก่อให้เกิดความโลภแก่ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ ให้เข้าใจว่าพระธาตุคือส่วนหนึ่งของพระสรีระของพระพุทธองค์ แล พระอรหันตสาวก เป็นเครื่องระลึกถึงคุณอันอเนกอนันต์ของพระพุทธเจ้า พระธรรม แล พระสงฆ์ รวมไปถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และการดำรงคงอยู่ของพระพุทธศาสนา จวบจนห้าพันพระวสา
ผมมีเรื่องเหลือเชื่อจากประสบการณ์จริงมาแบ่งปัน เรื่องนี้แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเกิดขึ้นจริงๆกับตนเอง(แต่ก็ได้เกิดไปแล้ว)
ครั้งหนึ่งผมได้รู้จักกับเพื่อนคนไทยแต่นับถือศาสนาฮินดู เขาจะบูชาเทพเจ้าแต่แปลกอย่างหนึ่งเขาชอบศึกษาเรื่องธรรมะของศาสนาพุทธด้วย
ผมมีเหตุที่ต้องไปพำนักที่บ้านของเขาหนึ่งคืน บ้านของเขานั้นเป็นบ้านที่มุงด้วยสังกะสีทั้งหลัง ภายในบ้านเต็มไปด้วยเทวรูป องค์เทพเทวาสารพัดปาง ล้นออกไปนอกชานบ้าน(แต่บ้านของเขามีพื้นที่ ที่กว้างมากๆเทวรูปจึงถูกจัดไว้ตามจุดต่างๆอย่างสวยงาม)
ครั้งหนึ่งเขาได้เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องพระธาตุเสด็จมาที่ดอกบัวสีชมพูที่เขาปลูกไว้ที่หน้าบ้านของเขา ผมฟังแล้วได้แต่ขำหัวเราะเกี่ยวกับความเชื่อ ที่หลงงมงายจนไม่เข้าท่าเข้าทางของเขา กอร์ปกับเขาเป็นฮินดูแต่ดันมาเอาหลักพุทธไปปนเปกันไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยอมเขาจริงๆคือการที่เขา ปฏิบัติบูชาองค์เทพเทวาอย่างไม่ขาด แบบสุดลิ่มทิ่มประตูไปเลยทีเดียว นอกจากองค์เทพแล้วภายในบ้านของเขายังมี หิ้งบูชาพระพุทธ บางทีเล่นเอาผมงงว่าฮินดูอะไรบูชาพระพุทธเจ้า
จากเหตุการณ์พระธาตุเสด็จเขาได้นำพระธาตุที่เขาเชื่อว่าเสด็จมา ขึ้นบูขาที่หิ้งพระสูงสุดภายในบ้านของเขาและในคืนวันที่ผมจะไปค้างนั้นเอง ผมได้ซึ้อพวงมาลัยมะลิติดตัวไปเพื่อบูชาพระธาตุตามที่เขาว่ามานั้น พอผมไปถึงบ้านของเขาผมก็ขออนุญาตเข้าไปกราบไหว้บูชาพระธาตุดังกล่าว การบูชาของผมก็ไม่มีอะไรมาก คือ สวดมนต์ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวคำบูชาพระธาตุเป็นภาษาไทย แต่ตอนนี้ตั้งจิตมั่นด้วยความศรัทรา
แล้วผมก็ก้มลงกราบสามครั้งแบบปกติ แต่ที่ประหลาดคือเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาจากการกราบครั้งที่สามแล้ว ผมได้ยินเสียงพูดเข้ามาที่สองหูเลยเสียงนั้นทำผมหูอื้อขณะได้ยินเป็นเสียงผู้ชายเสียงใสกังวานถามผมว่า "อยากขออะไร" ผมนึกว่าผมหูฝาดผมจึงจ้องไปที่พระธาตุอย่างประหลาดใจ เสียงดังกล่าวดังขึ้นอีก "เจ้าอยากขออะไร" ผมยอมรับว่าผมแปลกใจพอสมควรจะว่ามีคนมาพูดอะไรก็ไม่ใช่เพราะว่าเสียงมันได้ยินมาจากในหัวผม มันไม่เหมือนเสียงที่ได้ยินมาจากภายนอกแบบคนเราพูดกัน เสียงนั้นได้ถามอีกอย่างชัดเจนผมจึงตอบในใจกลับไปว่า "ผมมาเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุไม่ได้ต้องการสิ่งใด" แต่เสียงนั้นก็ตอบผมกลับมาอีกประมาณว่าอยากให้ผมขอประมาณนี้ แต่ผมก็ไม่ขอ "เพราะว่าเป็นสิริมงคลมากแล้วในการได้บูชาพระธาตุ" ผมกราบขอบพระคุณเสียงนั้นทั้งที่ไม่มีที่มาที่ไปอีกครั้งแล้วเสียงนั้นก็หายไปหลังจากผมกราบเสร็จสามครั้ง
ผมเดินออกมาจากบ้านเพื่อนผมในสภาพงงกับเหตุการณ์ที่เจอ ไม่กล้าพูดกล้าบอกใครได้แต่อึ้งเก็บไว้คนเดียว และได้แต่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันไม่จริง ประสาทคงหลอนไปหูคงแว่วไปจริงๆ ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายลักษณะบ้านเพื่อนของผมก่อนว่า ห้องนอนเขาอยู่รวมกับห้องพระ เทวรูป เขาจะนอนหน้าหิ้งพระ การจัดหิ้งพระของเขาเหมือนการจัดแบบในหนังแขก พวกฮินดูจะอลังการมากๆสีสันมากมายเต็มไปด้วยองค์เทพ ส่วนหิ้งพระจะเป็นแบบแขวนติดผนังมีสองหิ้ง สูงสุดเป็นหิ้งพระธาตุใส่ไว้ในเจดีย์เรซิ่นใสขนาดใหญ่เท่ากำปั้นสูงใหญ่มั่นคง ส่วนอีกหิ้งต่ำลงมาคือหิ้งของพระพุทธรูป
บ้านของเขาเป็นบ้านสังกะสีเหมือนบ้านคนงาน(เขาไม่ได้ยากจนแต่ด้วยรสนิยมส่วนตัว) แต่จะมีพื้นที่นอนได้ประมาณสามคนก็เต็มห้องมีประตูสองบาน บานแรกใช้เข้าออก ส่วนอีกบานเป็นประตูห้องน้ำ มีหน้าต่างหนึ่งบาน ทั้งหมดเมื่อนอนกันแล้วใครเข้ามาในห้องจะรู้ตัวทันที เพราะว่าห้องแคบมากเข้ามาต้องเหยียบกัน บ้านของเขาเวลานอนจะมีแม่เขาและเขาสองคน แต่วันนั้นรวมผมด้วยก็เป็นสามคนแมวอีกหนึ่งตัวแทบเต็มห้อง มีที่ให้เดินไปห้องน้ำกว้างแค่หนึ่งคนเดินหลังจากนอนในคืนนั้นอย่างสงบสุข
เช้าขึ้นมาผมก็ตื่นมาอาบน้ำ ทานอาหารตามลำดับ เพื่อนผมและแม่ของเขาก็มีท่าทีแปลกๆอ้ำๆอึ้งๆไม่พูดอะไรได้แต่จ้องๆมองๆผม จนกระทั่งตอนเย็น เขากวาดบ้านทำพิธีบูชาเทพเจ้าของเขาเสร็จ เขาเรียกแม่ของเขาเข้ามาจับกลุ่มนั่งถามผมว่า เมื่อวานได้เอาพวงมาลัยอุบะไปสวมครอบบูชาพระธาตุหรือเปล่าผมตอบว่าใช่ผมสวมไว้อย่างระมัดระวังแล้วกดให้แน่นจนถึงฐานเจดีย์ เพื่อนผมมองหน้าแม่ของเขาแล้วหันมาบอกผมว่าพวงมาลัยได้หายไป ผมตกในมากและโพล่งออกมาเสียงดังว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วเขาบอกผมว่าไม่เชื่อให้ผมเข้าไปดูได้ที่หิ้งพระ ผมเข้าไปดูพบว่าพวงมาลัยหายไปจริงๆ แต่ก็มานั่งคิดว่าอาจเกิดจากหนูและแมวหรือสัตว์อะไรมาเอาไปก็ได้ แต่คิดไปคิดมาหิ้งอยู่สูงมากถ้าเอาพวงมาลัยผมออกต้องใช้แรงพอควร ถ้าเป็นสัตว์เจดีย์ต้องตกลงมาแน่นอน ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือใหญ่เพราะว่าหิ้งพระแคบมาก และบ้านของเขามีประตูเข้าประตูเดียวผมนั่งหน้าบ้านกับเขาทั้งวัน แม้คนเข้ามาทางหน้าต่างก็ต้องผ่านสวนป่าของเขาเหยียบย่ำพื้นดินพื้นโคลนให้เห็นได้จากหน้าบ้านเพราะ หน้าบ้านมองเข้ามาเห็นในบ้านได้
เพื่อนผมยืนยันกับแม่ของเขาว่าไม่ได้เอาออกแน่นอน และเขาให้แม่ของเขาค้นบ้านรื้อทุกซอกทุกมุมในบ้านทั้งหิ้งบูชาเทวรูปทั้งหลายแล้ว แต่ก็ไม่พบพวงมาลัยที่ผมบูชาพระธาตุจนแน่ใจว่าหายไปเขาจึงมาบอกผม ผมก็สงสัยนะว่าทำไมเขารู้ว่าหายไปไม่ถามผมตั้งแต่แรก แต่กลับมาบอกตอนเย็น จากนั้นผมเองก็เล่าเหตุการณ์เสียงประหลาดระหว่างที่บูชาพระธาตุให้พวกเขาฟัง พวกเขาได้แต่ตื่นตะลึงขนลุกแต่ผมเองกลับประหลาดใจว่าคืออะไรมากกว่าและพยายามหาเหตุความเป็นไปได้ต่างๆนานามากกว่าความมหัศจรรย์
จนกระทั่งทุกวันนี้ผมยังหาสาเหตุไม่ได้จริงๆว่าเสียงนั่นมาจากไหน(ซึ่งผมสรุปว่าผมคงหูแว่ว) ส่วนเรื่องพวงมาลัยที่บูชาพระธาตุหายนี่คิดไม่ออกเรื่องเหตุผลจริงๆว่าหายไปได้อย่างไรในสภาพของห้องนอนที่มีแต่จุดอับทางเข้าออกทางเดียว ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ตลอดมา.
ป.ล. นี่คือเรื่องที่คิดว่าอัศจรรย์ ก็อาจจะใช่ จะคิดว่าเป็นเรื่องประหลาดก็ ใช่อีก แต่ด้วยเรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมทุกวันผมจึงเชื่อว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ตราบใดที่ผมยังหาทางพิสูจน์ในแง่เหตุและผลที่มาที่ไปไม่ได้ และปัจจุบันเพื่อนของผมหวงแหนพระธาตุดังกล่าวมากจะเปิดให้กับคนที่สนิทกันเข้ากราบไหว้บูชาเท่านั้น ส่วนตัวผมบอกตรงๆผมยังไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นเป็นพระธาตุจริงๆหรือไม่ นอกจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม.
เพิ่มเติม....คาถาพระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์"บำบัดอันตรายโรคภัยทั้งปวง
ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ ท่านเจ้าของบทความ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้
http://www.relicsofbuddha.com/
https://pantip.com/






