สตรีผู้สูงศักดิ์!! เปิดประวัติ "สองสตรีหลังม่าน" ที่ร่วมวางแผนกับ "พระเพทราชา" และ "หลวงสรศักดิ์" เพื่อปฏิวัติรัฐประหารขุนหลวงนารายณ์ !!

 

            จบไปแล้ว สำหรับละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ทำให้เหล่าออเจ้าฟินกันทั่งพระนคร สำหรับเมื่อคืนนี้มีฉากที่สำคัญและน่าสนใจเป็นอย่างมาก ฉากที่พระเพทราชา ร่วมวางแผน ยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์ ในละครจะเห็นได้ว่ามีสตรีที่ประทับอยู่หลังม่าน ที่ร่วมวางแผนกับพระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ยึดอำนาจจากสมเด็จพระนารายณ์ 

 

              สำหรับสตรีที่เห็นนั้นคือ กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า เป็นพระราชธิดาของพระนารายณ์ มีบทบาทด้านการค้าและคงมีพระอำนาจสูงมาก พระองค์เป็นพระราชธิดาที่โปรดปรานของพระราชบิดา

              พระนารายณ์มีพระราชดำริที่จะยกสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ให้เป็นพระชายาของสมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชอนุชา จนถึงขั้นมีการเตรียมการจัดงานอภิเษกสมรส อีกทั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพเองก็มีพระปรารถนาอย่างลึกซึ้ง แต่ความหวังก็พังพินาศลงในกาลต่อมา เนื่องจากเจ้าฟ้าน้อยทรงลอบเป็นชู้กับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ ภายหลังท้าวศรีจุฬาลักษณ์ถูกลงโทษด้วยการโยนให้เสือกิน ส่วนเจ้าฟ้าน้อยได้รับโทษโบย จนเป็นอัมพาตที่พระชิวหา บ้างก็ว่าทรงแสร้งเป็นใบ้

 

 

             ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชประสงค์ให้กรมหลวงโยธาเทพ อภิเษกสมรสกับพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรม แต่กรมหลวงโยธาเทพไม่ทรงยินยอมพร้อมพระทัยด้วย และพระองค์ทรงยึดมั่นในพระราชดำริเดิมที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าน้อย และทรงขัดขืนพระราชประสงค์ของพระบิดา ทรงเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการปฏิวัติรัฐประหารในยุคผลัดแผ่นดินที่สำคัญมาก โดยปัจจัยที่เชื่อว่าทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยเช่นนั้น มี ๒ ประการหลัก คือ

๑. ระบบผูกขาดการค้าของสมเด็จพระนารายณ์ เป็นอุปสรรคต่อการทำการค้าของพระราชธิดา

๒. การเกณฑ์แรงงานไพร่ในส่วนพระองค์ โดยที่ฟอลคอนระดมไพร่หลายพันรายไปทำสงครามกับเขมร ใน ค.ศ. ๑๖๘๔

 

             

 

            ช่วงการปฏิวัติมีการลอบปลงพระชนม์เจ้าฟ้าน้อย กรมหลวงโยธาเทพโทมนัสนัก ต่อมา ทรงเป็นมเหสีเบื้องซ้ายของพระเพทราชา โดยกล่าวกันว่ามิได้ทรงเต็มพระทัย จึงทำให้พระเพทราชามีสิทธิธรรมในราชบัลลังก์สมบูรณ์มากขึ้น แต่หลังสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา พระองค์และกรมหลวงโยธาทิพได้ถวายบังคมออกจากพระบรมมหาราชวังมาประทับและดำรงพระชนม์อย่างสงบด้วยการผนวชเป็นรูปชี แต่นั้นเป็นต้นมาชาววังได้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระรูปเจ้า" และดำรงพระชนม์เรื่อยมาจนกระทั่งสวรรคตในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๘

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook : Jaroensook Limbanchongkit Pone

ขอบคุณภาพจาก : ละคร บุพเพสันนิวาส ช่อง 3