- 05 มิ.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณีที่ในขณะนี้ได้มีการพูดถึงร่างทรงเป็นอย่างมาก โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่แปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงท่าทาง และที่พูดถึฃกันเป็นอย่างมากนั่นก็คือ การพูด ที่เหล่าร่างทรงได้อ้างว่าเป็นภาษาเทพ วันนี้เราจะพามารู้จักกับ ภาษาที่เหล่าร่างทรงพูดถึงกันว่าเป็นอย่างไร
สำหรับภาษาเทพเป็นภาษาสวรรค์ไม่มีใครสามารถแปลภาษาเทพ หรือเข้าใจภาษาเทพได้ ถึงแม้มีก็จะมีเพียงผู้ที่ปฏิบัติในระดับสูง ภาษาเทพมีอยู่ด้วยกันหลายระดับ บางอย่างก็เป็นภาษาของภพภูมินั้นๆ เช่นภาษาของผีก็มีเหมือนกันมนุษย์เรามีเทวดาปกปักษ์รักษา แต่ "เรามิใช่เทวดา" ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้ภาษาเทพ รู้แล้วได้อะไร ?
เมื่อศึกษาเรื่องเสียงพูดแปลกๆ ขณะทำสมาธิ และสอบถามไปยังพระกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องสมาธิ และผู้รอบรู้เรื่องสมาธิหลายท่านจึงได้ทราบข้อสังเกตที่เหมือนๆ กันในหลายๆ ส่วน เช่น ภาษาที่พูดออกมานั้น ผู้พูดมักจะพูดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะมีความรู้สึกนึกคิด หรือรู้สึกตัวตลอดเวลา หรือ ภาษาที่พูดออกมานั้นมักจะรัว และเร็วกว่าภาษาพูดธรรมดาที่คนทั่วไปพูดกัน และที่น่าสนใจที่สุดคือ ภาษานี้มักจะผลมาจากการทำสมาธิถึงขั้นหนึ่งจนจิตมีความละเอียดพอที่จะสัมผัสกับพลังงานต่างมิติ ไม่ว่าจะเป็นสัมภเวสี เทพ เทวดา ฯลฯ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น "การลงทรง" หรือ "ประทับทรง" นั่นเอง
"การลงทรง" หรือ "ประทับทรง" นั้นเป็นการติดต่อสื่อสารกับโลกวิญญาณวิธีหนึ่งโดยการทำสมาธิเป็นพื้นฐานของการประทับทรง นอกจากนี้การประทับทรงยังเป็นการทำให้เราได้รู้เข้าใจอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง เพราะการลงมาประทับทรงของจิตวิญญาณนั้นมีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ สัมภเวสี เจ้าพ่อเจ้าแม่ จนถึงเทพยดา เพราะเมื่อศึกษาไปก็ได้พบว่าโลกของเรานี้ไม่ได้มีเพียงแต่โลกที่มองเห็นด้วยตา แต่ยังมี "มิติทางโลกวิญญาณ" อยู่อีกหลายมิติเหลื่อมซ้อมกันอยู่ตามความหยาบละเอียดของจิตในสมาธิ หรือเรียกว่าอยู่กันคนละ "ความถี่" อย่างมนุษย์เราก็เป็น "ความถี่" หนึ่งในโลกวัตถุจึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นมิติของโลกวิญญาณได้ ขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่เป็นพวกสัมภเวสี ก็จะไม่สามารถรับรู้หรือเห็นดวงวิญญาณของเทพได้ เพราะอยู่กันคนละ "ความถี่" นั่นเอง
ใน "การประทับทรง" นั้นถ้าเป็นการทรงวิญญาณของมนุษย์ หรือดวงจิตที่เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นานนัก ผู้เป็นร่างทรงมักจะมีปฏิกิริยาดุจผู้ตายไปแล้วคือมีอากัปกิริยา และพูดจากภาษาเดียวกันกับคนผู้นั้น แต่ในกรณีที่เป็น "ดวงจิตของเทพ" เมื่อดวงจิตลงประทับร่างทรงแล้วมักมีอากัปกิริยาที่แปลกออกไป เช่น ร่ายรำ บ้างก็พูดออกมาเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง ภาษาดังกล่าวมักเรียกกันในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ หรือบรรดาร่างทรงว่า "ภาษาเทพ" เป็นภาษาเก่าแก่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับ "ภาษาพราหมณ์โบราณ"
เคยสอบถามไปยังผู้รู้หลายท่านได้ความเกี่ยวกับเรื่อง "ภาษาเทพ" นี้ว่า จริงๆ แล้วเมื่อมนุษย์สามารถทำสมาธิไปได้ถึงระดับหนึ่ง เข้าสู่ภาวะ "องค์ฌาน" ในขั้น "ภาวะปีติ" โดยเฉพาะ "อุเพงคาปีติ" นั้นเป็นการง่ายที่บรรดาดวงจิตหรือวิญญาณ ทั้งหลายจะเข้ามาใช้ร่างของผู้ทำสมาธิคนนั้น แต่ดวงจิตหรือวิญญาณที่เข้ามาใช้ร่างนั้นอาจจะไม่ใช่มนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้วเสียทั้งหมด อาจจะเป็นสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เมื่อดวงจิต หรือวิญญาณมาใช้ร่างกาย สมมุติเดิมของดวงจิตนั้นๆ ยังคงอยู่และก็แสดงผ่านออกมาทางร่างกาย
ภาษา "กูโบ๊ส – กูต๊าบ"
ภาษาของพรหมใช้ คือ กูโบ๊ส ส่วนภาษาของวิญญาณในภพสัมภเวสี และวิญญาณชั้นต่ำใช้ คือ กูต๊าบ ในการติดต่อและกระทำพิธีกรรม พวกพรหมชั้นสูงจะใช้ภาษา "กูโบ๊สขั้นสูง" เรียกว่า "ปุริสคาเบ๊ส" พรพรหมชั้นกลางใช้กูโบ๊สแบบ "รอเฟน" พวกพรหมชั้นต่ำและเทพชั้นสูงให้กูโบ๊สแบบ "มินกะเอน" ในการติดต่อสื่อสารและกระทำพิธี
พวกวิญญาณเทพชั้นกลางและเทพเจ้าโดยทั่วไป ใช้ภาษา "เช็คราวาตี" ในการติดต่อและกระทำพิธี คัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ยุคดึกดำบรรพ์ใช้อักขระกูโบ๊สจารึกและปราชญ์ทางนิรุกติศาสตร์ลงความเห็นว่า "ภาษากูโบ๊ส คือ ต้นกำเนิดของอักขระเทวนาครีย์"
ในประเทศไทย ยังมีผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในภาษากูโบ๊ส – กูต๊าบ นั่นคือ ดร.พระธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวิสุทฺโธ) หลวงพ่อทองอยู่ไปศึกษาสันสกฤตระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมัทราส เมืองมัสราส รัฐทมิฬนาดู ประเทศอินเดียในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "ASHVAGHOSA’S WORK" (งานของท่านอัศวโฆษ) ท่านอัศวโฆษ นี่แหละคือเสาเอกของบวรพุทธศาสนานิกายมหายาน โดยลูกศิษย์ท่านนามว่า นาคารชุน นำมาปฏิบัติและเผยแพร่ จนกลายเป็นนิกายที่สำคัญไป ซึ่งยึดเอา อวตังสกสูตร เป็นแม่บทของนิกาย คามแตกฉานอย่างกว้างไกลและลุ่มลึกในภาษาสันสกฤตของหลวงพ่อเจ้าคุณ เวทย์มนต์ทั้งหลายแหล่ที่ล่ำลึกและสูงส่ง ล้วนแต่กึกก้องในจิตวิญญาณ เนื่องจากท่านเรียนภาษาสันสกฤตอย่างแตกฉานได้ก็เพราะเรียนและศึกษาไปถึงต้นกำเนิดอักขระนาครีย์และอักขระกูโบ๊สตามลำดับ
ซึ่งเหล่าวิญญาณทั้งปวงล้วนแต่เกรงกลัวอักขระกูโบ๊สและกูต๊าบ นั่นทำให้พระพุทธมนต์ของหลวงพ่อทองอยู่จึงศักดิ์สิทธิ์และอาคมขลัง ก็เพราะท่านบรรจุมนต์ ทั้งอักขระกูต๊าบ ทั้งอักขระกูโบ๊สลงไปในน้ำดังกล่าวอย่างเต็มเปี่ยมและสมบูรณ์แบบ
ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจเฟซบุ๊ก : เทวะตำหนักวิษณุพรหม"ศรีสุริยันต์ จันทรา"เสด็จพ่อพระศิวะมหาเทพ และ หลวงพ่อเจ้าคุณพระศรีธีรพงศ์ ผู้มากด้วยบุญฤทธิ์จากอินเดีย ถึงสยามประเทศ
นิตยสาร ดวงเศรษฐี
ขอบคุณคลิปจาก : สนุกคลิป (สดๆร้อนๆ)จาก รายการ เจาะประเด็น ช่อง 8






