- 19 ธ.ค. 2568
หลายคนเผลอขยี้ตาเวลาเหนื่อยหรือคัน โดยไม่รู้ว่าพฤติกรรมเล็กๆ นี้ อาจกลายเป็นตัวการทำลายดวงตา เพิ่มความเสี่ยงโรคตา และเร่งให้หน้าแก่ก่อนวัยแบบไม่รู้ตัว
หลายคนอาจเคยชินกับการ ขยี้ตา เมื่อรู้สึกคัน ระคายเคือง หรืออ่อนล้าจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน โดยไม่ตระหนักว่าพฤติกรรมเล็กๆ นี้ อาจกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพดวงตาและผิวรอบดวงตาในระยะยาว
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตาระบุว่า การขยี้ตาบ่อยหรือใช้แรงมากเกินไป สามารถทำลายโครงสร้างที่บอบบางของดวงตาได้โดยตรง หนึ่งในภาวะอันตรายคือ โรคกระจกตาโป่งพอง (Keratoconus) ซึ่งเกิดจากกระจกตาอ่อนแอและนูนผิดรูป ทำให้การมองเห็นบิดเบี้ยว สายตาเอียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจรุนแรงจนต้องผ่าตัดรักษา
นอกจากนี้ มือของเรายังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เมื่อขยี้ตาโดยไม่ล้างมือให้สะอาด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง หรือเกิดตากุ้งยิงได้ง่าย อีกทั้งการขยี้ตายังไปกระตุ้นการหลั่งสารฮิสตามีน ทำให้อาการคันและบวมจากภูมิแพ้แย่ลง จนเข้าสู่วงจรขยี้ตาไม่รู้จบ
แรงกดจากการขยี้ตายังอาจทำให้เส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุตาแตก ส่งผลให้ตาขาวแดงเป็นปื้น และในบางกรณีอาจเพิ่มความดันลูกตาชั่วคราว ซึ่งหากเกิดซ้ำบ่อยครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด โรคต้อหิน ที่เป็นสาเหตุของการสูญเสียการมองเห็นถาวร
ไม่เพียงเท่านั้น การขยี้ตายังส่งผลต่อความงามโดยตรง ผิวรอบดวงตาที่บางและบอบบางจะถูกดึงรั้งซ้ำๆ ทำให้เกิด หนังตาหย่อนคล้อย ตาปรือ ริ้วรอย ตีนกา และรอยคล้ำใต้ตา เร็วกว่าปกติ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้าและแก่ก่อนวัย
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากมีอาการคันตาหรือระคายเคือง ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา และหันมาใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่า เช่น การประคบเย็น ใช้น้ำตาเทียม พักสายตา หรือปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญที่ไม่สามารถทดแทนได้ การเลิกนิสัยขยี้ตาและดูแลสุขภาพดวงตาอย่างถูกวิธี จึงเป็นการลงทุนเพื่อการมองเห็นที่ดีและความอ่อนเยาว์ในระยะยาว
แหล่งที่มาอ้างอิง
สมาคมจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
American Academy of Ophthalmology (AAO)






