- 25 ธ.ค. 2568
ตู้เย็นที่เคยเงียบกลับเริ่มส่งเสียงดังผิดปกติ อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนเครื่องพัง ผู้เชี่ยวชาญแนะ 5 จุดใกล้ตัวที่ควรรีบตรวจเช็ก
ตู้เย็นถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง หากวันหนึ่งเริ่มมีเสียงดังผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสั่น เสียงคราง หรือเสียงกระแทก นั่นอาจเป็น “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ว่าระบบภายในกำลังมีปัญหา การตรวจเช็กตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งาน และลดความเสี่ยงที่คอมเพรสเซอร์จะพังแบบไม่ทันตั้งตัว
1. ตู้เย็นตั้งไม่สมดุล
ตู้เย็นที่ตั้งเอียงหรือพื้นไม่เรียบ จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงาน ส่งผลให้มีเสียงดังมากกว่าปกติ แนะนำให้ปรับขาหน้าตู้ให้ได้ระดับ และเว้นระยะห่างจากผนังเล็กน้อยเพื่อการระบายอากาศที่ดี
2. สิ่งของภายในตู้ขยับชนกัน
ขวดแก้ว กล่องอาหาร หรือชั้นวางที่วางไม่มั่นคง อาจเกิดการสั่นหรือกระทบกันเมื่อระบบทำความเย็นทำงาน ทำให้เกิดเสียงกึก ๆ โดยไม่จำเป็น การจัดระเบียบภายในตู้ใหม่ช่วยลดเสียงรบกวนได้ทันที
3. ฝุ่นสะสมที่แผงระบายความร้อน
ฝุ่นที่เกาะตามคอยล์ด้านหลังหรือใต้ตู้ จะทำให้การระบายความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เครื่องทำงานหนักและเสียงดังขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำความสะอาดทุก 3–6 เดือน เพื่อยืดอายุการใช้งานและลดค่าไฟ
4. ใบพัดหรือพัดลมมีสิ่งกีดขวาง
หากได้ยินเสียงเสียดสีหรือครืด ๆ อาจเกิดจากน้ำแข็งเกาะ ใบพัดติดขัด หรืออาหารวางชิดช่องลมมากเกินไป การละลายน้ำแข็งและจัดของใหม่สามารถช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้นได้
5. ยางขอบประตูเสื่อม
ยางประตูที่ไม่แนบสนิท ทำให้ความเย็นรั่ว ตู้เย็นต้องทำงานหนักขึ้นจนเกิดเสียงดังผิดปกติ วิธีเช็กง่าย ๆ คือใช้กระดาษหนีบที่ขอบประตู หากดึงออกง่าย แสดงว่ายางเริ่มเสื่อมและควรเปลี่ยน
เมื่อใดควรเรียกช่างทันที
หากมีเสียงดังต่อเนื่องแม้เช็กครบทุกจุด หรือมีอาการกลิ่นไหม้ เสียงโลหะกระแทกแรง ควรปิดเครื่องและตัดไฟทันที แล้วติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจเกี่ยวข้องกับคอมเพรสเซอร์หรือระบบไฟฟ้าภายใน
แหล่งที่มาอ้างอิง
U.S. Department of Energy – Refrigerator Maintenance Guide
Consumer Reports: Common Refrigerator Noises
คู่มือการดูแลเครื่องใช้ไฟฟ้า สมาคมผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าไทย






