- 25 ธ.ค. 2568
หลายคนพยายามลดน้ำหนักอย่างหนักแต่กลับไม่เห็นผล แพทย์เตือนอาจไม่ใช่เรื่องวินัย แต่อาจเกิดจาก “ความไม่สมดุลของฮอร์โมน”
หลายคนทุ่มเททั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ตัวเลขบนตาชั่งกลับไม่ขยับ หรือบางรายน้ำหนักยิ่งเพิ่มขึ้น ปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดจากการกินมากหรือขี้เกียจอย่างที่เข้าใจกัน แต่มีสาเหตุสำคัญจาก ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
ภาวะอ้วน หรือ โรคอ้วน (Obesity) คือการที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินความจำเป็น ซึ่งนอกจากส่งผลต่อรูปร่างแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิด
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า เมื่อร่างกายเริ่มลดน้ำหนัก ระบบฮอร์โมนจะทำงานเพื่อป้องกันการสูญเสียพลังงาน โดยมีการปรับสมดุลหลายด้าน เช่น เพิ่มฮอร์โมนกระตุ้นความหิวอย่าง เกรลิน (Ghrelin) ลดฮอร์โมนที่ช่วยให้อิ่มอย่าง GLP-1 และลดอัตราการเผาผลาญพลังงานพื้นฐานของร่างกาย ส่งผลให้รู้สึกหิวบ่อย เหนื่อยง่าย และน้ำหนักลดได้ยากกว่าปกติ
อาการเหล่านี้ทำให้หลายคนเกิดความท้อแท้ และเข้าใจผิดว่าตนเองล้มเหลวในการลดน้ำหนัก ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นกลไกทางชีวภาพที่ร่างกายพยายามรักษาน้ำหนักเดิมเอาไว้
แพทย์แนะนำว่า การแก้ปัญหาอ้วนจากฮอร์โมน ควรเริ่มจากการประเมินสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งค่าดัชนีมวลกาย รอบเอว ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือด ฮอร์โมนไทรอยด์ รวมถึงพฤติกรรมการนอนและระดับความเครียด จากนั้นจึงวางแผนดูแลแบบองค์รวม โดยปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม
การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของความอ้วน ไม่เพียงช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนในระยะยาวได้อีกด้วย
แหล่งที่มาอ้างอิง
สมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย
องค์การอนามัยโลก (WHO) เรื่องโรคอ้วน






