สงครามโลกครั้งที่สาม !!! ฮิลลารี-ทรัมป์ ใครคือมือจุดชนวน ??? เกี่ยวอะไรกับพระสันตะปาปา ฟรานซิส

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

       แทบไม่น่าเชื่อ...ว่าอะไรมันจะพลิกไป-พลิกมาไปได้ถึงปานนั้น วันสองวันก่อน เพิ่งออกข่าวว่าคะแนนนิยม ฮิลลารี ทิ้ง ทรัมป์ ไปแล้ว 10 จุด 15 จุด เรียกว่า...ระดับ 100 บาทเอาอุจจาระสุนัขกองเดียว ยังไม่มีใครกล้ารอง แต่มาช่วงวันอังคารที่ผ่านมา โผหรือโพลของเอบีซีนิวส์ วอชิงตันโพสต์ ก็ออกมาตรงกันประมาณว่า ชูวิทย์ อเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เบียดแซงหน้า ฮิลลารี คลินตัน 46-45 เชือดเฉือนฉีดฉิวแบบเส้นยาแดงผ่าแปด...
---------------------------------------------------
จะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของอี-แมว อี-เมล หรืออีใดๆ ก็แล้วแต่ คงต้องไปหาอ่าน ไปฟังจากพวกนักวิเคราะห์ระดับคุณน้า สุทธิชัย หย่อง หรือ หยุ่น กันเอาเอง แต่ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยก็คือว่า มาถึง ณ ขณะนี้...ทั้งนาย ทรัมป์ และนาง ฮิลลารี ต่างพยายามนำเอา ความกลัว มาใช้เป็น จุดขาย ไปด้วยกันทั้งคู่ คือความกลัวในเรื่องอภิมหาสงคราม อย่างสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามนิวเคลียร์นั่นแหละทั่น...
---------------------------------------------------
ขณะที่ก่อนหน้านั้น...หรือหลังจากผ่านพ้นการ ดีเบต ครบทุกยก จนคะแนนนิยมของนาย ทรัมป์ ร่วงผลอยๆ สู้นาง ฮิลลารี แทบไม่ได้ เพราะไม่ได้มี นักข่าว ซีเอ็นเอ็นคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง คือช่วยแอบเอาคำถามในการดีเบต ส่งไปให้นาง ฮิลลารี ทำการบ้านเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ชนิดกลายเป็นข่าวคราวทำให้ตัวเองต้องลาออกไปในท้ายที่สุด ชูวิทย์อเมริกา...เลยต้องหันมาปลุกกระแส ความกลัว หยิบเอาเรื่องการประกาศสนับสนุนจัดตั้ง เขตห้ามบิน ในซีเรียหรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้นาง ฮิลลารี กลายสภาพเป็น แม่มด ผู้หิวกระหายสงครามซะเต็มที...
---------------------------------------------------

  สงครามโลกครั้งที่สาม !!! ฮิลลารี-ทรัมป์ ใครคือมือจุดชนวน ??? เกี่ยวอะไรกับพระสันตะปาปา ฟรานซิส

       แต่ในการหาเสียงที่รัฐฟลอริดา...นาง ฮิลลารี ก็หันมาใช้เคล็ดวิชาตระกูลม่อย้ง คือวิชา ยืมหอกสนองคืน หันไปกล่าวหานาย ทรัมป์ ประมาณว่า “เป็นบุคคลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยอาจเป็นผู้จุดชนวนสงครามนิวเคลียร์ได้ทุกเมื่อ” หรืออาจสรุปได้ว่า...ไม่ว่า ทรัมป์ หรือ ฮิลลารี ต่างออกไปทางน่ากลัวไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือต่างมีสิทธิ์เป็นผู้จุดชนวนอภิมหาสงคราม ระดับสงครามนิวเคลียร์ หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ทุกเมื่อ เจอเข้ากับสีสัน บรรยากาศในลักษณะเช่นนี้ บรรดา ปวงชนอเมริกัน ทั้งหลาย หนีไม่พ้นมีแต่ต้อง มึนซ์ซ์ซ์ กันไปเป็นแถบๆ...
-------------------------------------------------------
คือไม่ใช่แค่ ห่วยมาก กับ ห่วยมากกว่า เท่านั้น...แต่มันยังผสมปนเปไปด้วย สยองมาก กับ สยองมากกว่า อีกซะล่วย หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจะเลือกใครขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน มันคงไม่ได้ช่วยให้แนวโน้มของ สันติภาพ เกิดอาการเงยหน้า อ้าปาก ขึ้นมามากมายซักเท่าไหร่ บรรยากาศ สงครามเย็นยุคใหม่ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างอภิมหาอำนาจ มิอาจอยู่ร่วมโลกกันได้อีกต่อไป ต้องแบ่งโลกออกเป็นส่วนๆ เป็นค่ายๆ ที่หวนกลับคืนมาอีกครั้ง มันจึงมีโอกาสถูกแปรสภาพให้กลายเป็น สงครามร้อน ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้...
------------------------------------------------
อันนี้นี่แหละทั่น...ที่น่าสนใจเอามากๆ หรือไม่คิดสนใจใดๆ คงมิได้ เพราะถึงจะเป็นประเทศเล็กๆ อย่างไทยแลนด์แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเค้าด้วยเลย แต่ถ้าหากมันเกิดบึ้มม์ม์ม์ เกิดบ้อมม์ม์ม์ ขึ้นมาเมื่อไหร่ ยังไงๆ มันคงต้องถูกดึง ถูกลาก ให้เข้าไปเกี่ยวกันจนได้นั่นแหละ เพราะภายใต้สภาพบรรยากาศที่ว่า สิ่งที่เรียกว่า ความเป็นกลาง ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น มันคงเป็นแค่เรื่องที่ เพ้อๆ กันไป โอกาสที่จะดำรง รักษา ให้มันเป็นจริง เป็นจังแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย และถ้าหากว่าดันเลือกผิด เลือกถูก เลือกแบบมั่วๆ โอกาสจะพังพินาศ ฉิบหาย ระดับนับเป็นทศวรรษๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
----------------------------------------------------
 

       ด้วยเหตุนี้...ก็คงต้องจับตากันในประเด็นนี้นั่นแหละเป็นหลัก ส่วนเรื่องอีมง อีแมว ใครบ้ากว่า บ้าน้อยกว่า อันนั้นปล่อยให้บรรดา สติวปิด ไวท์ แมน หรือบรรดาปวงชนชาวอเมริกันเค้าว่าของเค้าไป และอย่าไปคิดเพียงแค่ว่ายังไงๆ...มันคงไม่เกิดสงครามอยู่แล้วแน่ๆ เพราะถ้าเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ทุกฝ่าย ตายห่า หมด เลยคงไม่มีใครคิดจะทำให้เกิด อันนั้น...อาจเป็นการมองโลกในแบบ เบบี้ อยู่ซักหน่อย เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่ว่ามันจะตายกันไปแล้วเกือบครึ่งโลก ค่อนโลก สิ่งที่เรียกว่า สงคราม มันก็ยังไม่เคยได้รับการคลี่คลาย มีแต่จะแรงขึ้นๆ มีแต่พร้อมจะสร้างความฉิบหายให้กับโลกทั้งโลกได้เสมอๆ...
-----------------------------------------------------
และอย่างเท่าที่ว่าเอาไว้แล้วว่า...สงครามระดับโลกเท่าที่เคยผ่านมา และที่กำลังมีแนวโน้มจะปะทุขึ้นมาใหม่ ล้วนแล้วแต่มีลักษณะออกไปทาง ไฟต์บังคับ ไปด้วยกันทั้งสิ้น คือถ้าหากไม่อาศัยสงครามเป็น ทางเลือก หรือ ทางออก บรรดาผู้ที่จุดชนวนสงครามขึ้นมาเองนั้น อาจไม่เหลือ ทางรอด ใดๆ นอกเสียจากต้องยอมรับความล่มสลายของตัวเองไปตามธรรมชาติ หรือตามกฎอนิจจาลักษณะ การดิ้นรนเพื่อเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติ ไปจนเพื่อควบคุม บังคับ ธรรมชาติ มันจึงนำมาซึ่ง สงคราม ซะทุกทีไป...
------------------------------------------------------
ซึ่งโดยแนวโน้มทำนองนี้นี่แหละ...ที่มันเริ่มปรากฏตัวขึ้นมารองรับความเป็นไปได้ของสงครามครั้งใหม่ สามารถเปลี่ยน สงครามเย็น ให้กลายเป็น สงครามร้อน ได้ทุกเมื่อ รวมทั้งสามารถยกระดับ สงครามโลกแบบทีละส่วน อย่างที่พระสันตะปาปา ฟรานซิส ท่านได้ให้คำนิยามเอาไว้ ให้กลายเป็นสงครามโลกในแบบเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์ได้ทุกเมื่อ ความ บ้ามาก-บ้าน้อย ของนาง ฮิลลารี และนาย ทรัมป์ มันจึงเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับความเป็นไปได้ของสิ่งที่ว่า จนอาจต้องคอยจับตาเอาไว้บ้าง เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ ความบ้า ในแต่ละระดับให้ถูกเรื่อง ถูกจังหวะ หรือเพื่อกำหนดวิเทโศบายของประเทศเล็กๆ ให้สอดคล้องไปกับความเป็นจริงของโลก ได้อย่างถนัด ชัดเจน...ก็เอาเป็นว่า อีกไม่ถึงสัปดาห์ คงได้รู้ว่าใครหมู่ ใครจ่า โดยระหว่างนี้คงต้องช่วยภาวนาขอให้ สันติภาพ หวนคืนกลับมาสู่โลกไปพลางๆ ก็แล้วกัน...
--------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Nicolas Chamfort... “War to castle, peace to cottage.- สงครามจงไปสู่ปราสาท ส่วนสันติภาพจงไปสู่กระท่อม...”
------------------------------------------------------

 

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย : ศิริพงศ์ สำนักข่าวทีนิวส์

ขอบคุณข้อมูล : ท่านขุนน้อย นสพ.ไทยโพสต์