“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

เมื่อ 'สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์' พูด

 

       สัมโมทนียกถาของ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" (ป.อ. ปยุตฺโต) เมื่อ ๕ ธันวา ๕๙ ที่คนนำมาเผยแพร่ แค่ "บางส่วน"!ยังมีอีกหลายส่วน ไม่มีใครนำมาบอกกล่าว ซึ่งในส่วนนั้น นับว่าสำคัญมาก ผมตั้งใจแกะเสียงจากคลิปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่เห็นมีเรื่องอื่นหลายเรื่อง จึงเก็บไว้ วันนี้ เห็นว่าเหมาะสม เอาเท่าที่แกะได้นะครับ จงตั้งใจอ่าน "สัมโมทนียกถา" ของ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" ในวันนั้น ดังต่อไปนี้

 

       " ขอบพระคุณท่านพระเถระทุกท่าน และญาติโยมมากมายที่มาเรียกว่าเสียสละเยอะ ที่ให้รอนาน อาตมาต้องขออภัย และขออนุโมทนา ที่อาตมาต้องเกี่ยวข้องก็คือ โยมมามาก ก็จะต้องทักทาย การจะทักทาย ก็จะต้องจำกันได้ แต่ทีนี้ ต้องขออภัย สองประการ หนึ่ง 'สายตา' บางทีจำกันไม่ได้ ไม่ชัดแล้ว เพราะฉะนั้น ก็อาจจะผิดพลาด  สอง 'คอ' เสียงไม่มี ทักไม่ไหว ทักไม่ทัน ให้ทราบเสียก่อนว่า อนุโมทนาโยมทุกท่าน ถ้าจะทักทายโยมไม่ไหว ไม่ทัน ก็ขออภัย ขอให้เข้าใจอันนี้ด้วย เมื่อเข้าใจกันแล้ว ก็ขอพูดต่อไปว่า..........ที่จริง เรื่องมุทิตาสักการะ เรื่องรับสมณศักดิ์ ยังสำคัญเป็นเรื่องรอง ความสำคัญที่แท้ ญาติโยมควรจะนึกว่าวันนี้ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ ๙

 

       อันนี้ เป็นวันสำคัญที่แท้จริง แม้แต่พิธีพระราชทานสมณศักดิ์ ก็สืบเนื่องมาจากของการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ อันนี้ เราก็ต้องมองไปที่...พูดง่ายๆ ก็คือ 'พระคุณของในหลวงรัชกาลที่ ๙' หมายความว่า เป็นพระราชกรณียกิจในส่วนของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งพระองค์ได้ทรงปฏิบัติจริงจังตลอดมา และเราก็จะได้เห็นว่าทรงเอาใจใส่จริงๆ

“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

       อาตมาไม่ได้เข้าวัง ไม่ได้เข้าพิธีหลวง พิธีราชการมาประมาณกว่า ๒๕ ปี เว้นครั้งเดียว ที่มีฎีกาให้ไปรับสมณศักดิ์เป็น 'พระพรหมคุณาภรณ์' ครั้งเดียว นอกนั้น ๒๕ ปี ไม่เคยเข้าวัง ไม่เคยเข้าพิธีทางการใดๆ ทั้งสิ้น  ทีนี้อาตมาหนีไปจากกรุงเทพฯ เพราะเป็นโรคปอด จึงได้ไปอยู่วัดญาณเวศกวัน ไปอยู่วัดญาณเวศกวัน ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไร คือมาก็อาพาธ อยู่ได้พักอาศัย และก็ทำหนังสือที่ค้างอยู่ ก็ทำต่อไป

 

       ทีนี้ มาอยู่ที่นี่ อยู่พรรษาเดียว ก็ไปพักที่ฉะเชิงเทรา ที่สายใจธรรม ๕ พรรษา ไม่ได้อยู่ที่นี่ ออกพรรษาแล้วก็มาๆ ไปๆ นี่ ๕ ปีผ่านไปแล้ว ครั้นต่อมา มาจำพรรษาที่นี่ ปี ๓๘ พอปี ๔๐ อาตมาผ่าตัดเส้นเลือดสมอง! ตั้งแต่นั้นมา ก็อยู่ก้นวัด ขออภัย...อาตมาใช้คำนี้ ไม่ได้ออกมาหน้าวัดเลย ตั้งแต่ปี ๔๐ หมายความว่า อาตมากับวัดนี้ มีบทบาทน้อยที่สุด

 

       ปี ๔๐ อยู่ก้นวัด.........หมายความว่า 'อยู่ที่กุฏิ' ไม่ได้ออกมาหน้ากุฏิ ๑๐ ปี ต่อจากนั้น แม้แต่วัดญาณเวศกวันก็อยู่ไม่ไหว อากาศสู้ไม่ไหว ก็จราจรเร่ร่อนมาจนบัดนี้ อีกประมาณ ๑๐ ปี หมายความว่า ๒๐ ปีนี้ ก็ไม่ได้ออกมาเกี่ยวข้อง โยมจะเห็นว่า มาวัดไม่เจอเจ้าอาวาส แต่ก่อนยังออกพิธีบ้าง วันวิสาขะ วันมาฆบูชา ตอนหลังไม่ได้มาเลย ก็หมายความว่า แม้แต่ที่วัดนี้ อาตมาก็มีบทบาทน้อย วัดที่อยู่ สร้างไว้อย่างนั้นแหละ

“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

       เอ้า...วันนี้ได้ยินว่าโยม 'คุณหญิงกระจ่างศรี' จะฝากอะไรนะ...ฝากพวงมาลัยมา 'คุณหญิงกระจ่างศรี' ท่านเป็นประธานสร้างวัดนี้ ท่านอายุ ๑๐๒ ปีมาไม่ไหว ท่านเลยฝากพวงมาลัยมา อ้อ...หลานเอามาแล้ว ก็โยมอายุ ๑๐๒ ปีแล้ว รุ่นที่สร้างวัดนี้ แล้วท่านก็คิดถึงมาก อุตส่าห์ให้ลูกหลานนำเอาพวงมาลัยมา ก็เป็นอันว่า วัดนี้โยมสร้างกันมา อาตมาเคยพูด บอกว่าอาตมาไม่เคยสร้างอะไรที่วัดนี้ แม้แต่เท่าเล้าไก่ พวกคุณโยมทั้งนั้น

 

       เนี่ย..ก็เป็นยังเนี้ย พิธีหลวงอะไรก็ไม่ไปเลย ออกไปอยู่ตามดง ตามอะไรไปตามเรื่อง แต่ว่า มีอันหนึ่งก็คือ 'งานหนังสือ' ไม่ได้ทิ้ง หนังสือธรรมะ ทำเท่าที่จำได้ แค่เล่มเดียว 'ตามพระใหม่ไปเรียนธรรม' ก็บอกกับพระว่า 'ชีวิตนี้อาจจะไม่เสร็จ' ก็ไม่แน่จะเสร็จหรือเปล่า ก็จะพยายาม อาจจะไม่เสร็จก็ได้ เสร็จไป ๒๑ ตอน เหลืออีก ๓๙ ตอน แล้วหนังสืออื่นอีกเยอะแยะ นี่ก็เล่าให้ฟัง

 

       ทีนี้ ที่พูดอย่างนี้ ก็คือให้เห็นว่า ที่จริงอย่างที่อาตมาบอก ไม่ได้ออกพิธีหลวง ไม่ได้ไปอะไรเลย ทำให้เราเดาว่า...อะไรล่ะ...'ไม่ได้รอดสายพระเนตร' อาตมาเที่ยวไปอยู่ที่โน่น-ที่นี่ ก็...เออ ทำอะไรอยู่ อะไรต่ออะไรเนี่ย ก็ทำหนังสือธรรมะ เรียกภาษาให้ไพเราะหน่อย ก็คือว่า 'ทำงานสร้างเสริมและแผ่ขยายความรู้-ความเข้าใจธรรมวินัย' และก็หาทางให้ประชาชนได้ประพฤติปฏิบัติกัน ก็ทำงานแค่เนี้ย เรื่องอาตมาเป็นอย่างนี้ ก็บอกให้ญาติโยมรู้ เป็นอันว่า งานนี้ ให้โยมไปเอาใจใส่ที่พระคุณของในหลวง 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙' นั้นในส่วนเรื่องของพระราชามหากษัตริย์บ้านเมืองที่ท่านมีพระคุณเอาพระทัยใส่ต่อพระศาสนา ส่งเสริม โดยที่ทรงห่วงใย หาทางให้กิจการพระศาสนาได้ดำเนินไป

“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

       ทีนี้ หันมาดูเรื่องพระบ้าง พระจะตั้งสมณศักดิ์เป็นอะไร ก็เป็นพระนั่นแหละ ก็เป็นพระองค์หนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น โยมไม่ต้องเป็นห่วง จะตั้งชั้นไหน..ชั้นไหน ก็เป็นพระเหมือนเดิม ฉะนั้น เหมือนกับเราอยู่ตรงนี้ เคยเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงตา หลวงพ่อ หลวงปู่ ก็เรียกไปตามนั้นดีที่สุด ถ้าเขาจะเรียกว่า 'ท่านเจ้าประคุณ' อะไรก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ให้เป็นเรื่องของทางการเขา เราก็อยู่กันแบบสบายๆ....

 

       ทีนี้เอาล่ะ นี่...ทำความเข้าใจกันว่า เรื่องที่เราควรจะเห็นพระคุณคือด้านของในหลวง ส่วนพระก็ให้เป็นพระไปตามเดิม

ทีนี้ เรื่องพระ ก็มีเรื่องหนึ่ง ก็คือว่า.........มันมีเรื่อง 'เป็น' กับเรื่อง 'ทำ'

 

       ตอนนี้ โยมเขาบันทึกเรื่องเป็น เป็นนั่น-เป็นนี่ ที่จริงเรื่องทางธรรมะ ท่านไม่นิยมถามว่า 'จะเป็นอะไร' ท่านนิยมถามว่า 'จะทำอะไร' เอ่อ... อันนี้ล่ะสำคัญ นี้จะทำอะไร บางทีเขาจะต้องทำอันนั้น-อันนี้ จะทำให้ได้ผลดี มันเหมือนจะต้องเป็นนั้น เพื่อจะได้ทำอันนี้ได้ เขาก็เลยให้เป็น เพื่อจะได้ 'ทำอะไรบางอย่าง' ได้จริงจังเข้มแข็ง

 

       อันนี้ ก็จึงเป็นคติที่เราจะต้องรู้ว่า ทางพุทธศาสนา ท่านไม่นิยมถามว่า 'จะเป็นอะไร' แต่ถามว่า 'จะทำอะไร'  ทีนี้เรื่อง 'จะเป็น' กับเรื่อง 'จะทำ' มันขัดกัน!  ตอนนี้ ต้องเปิดใจ ต้องพูดกันตรงๆ ว่า นี่พูดถึงตัวอาตมาเองนะ ขออภัย...ที่พูดถึงเป็นส่วนตัว งานที่จะทำ ก็คือเรื่องหนังสือธรรมะอะไรต่างๆ ที่ว่าบอกพระไปแล้วว่าหมดชีวิตนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางจบ ก็ต้องทำกันต่อไป

 

       ทีนี้ไอ้การเป็น บางทีมันขัดกับการทำ มันก็ต้องมาตกลงกันว่า เป็นนี่...เขามีเรื่องอย่างนั้น..อย่างนั้น ที่เกี่ยวการเป็น แล้วไอ้เรื่องที่เราจะทำนี่ มันทำไม่ได้ เพราะมันขัดกัน ก็ต้องมาตกลงกันว่า 'เราจะทำยังไง เราจึงจะทำเรื่องที่เราต้องการจะทำให้มันสำเร็จ?'

 

       เนี่ย... จุดสุดท้าย มาอยู่ที่นี่  'เรื่องเป็น' กับ 'เรื่องทำ' มันขัดกัน แล้วจะต้องหาทางให้ 'เรื่องเป็น' มันเปิดทางให้ 'เรื่องทำ' ให้ได้ เพราะเรื่องทำสำคัญกว่า ก็ต้องทำไปจนตายนั่นแหละ หมายความว่า...บอกแล้วชีวิตนี้ไม่พอ หนังสือธรรมะอะไรมิต่ออะไรเนี่ยมากมาย ก็เลยพูดให้ญาติโยมเข้าใจ"

“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

       ครับ...นี่แหละ "ข้อใหญ่-ใจความ" ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพูดในวันนั้น ที่วัดญาณเวศกวัน นครปฐม ถ้าใช้ภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า "ท่านเจ้าประคุณสมเด็จเปิดอกพูด"!

 

       ความจริงช่วงนั้น ท่านยังอาพาธอยู่ เสียงก็ไม่มี ท่านเจ็บอกมาก เขียนหนังสือบอกพิธีกรว่า "วันนี้ไม่มีเสียง" ให้อ่าน ขออภัยและขอบคุณทุกคน แต่ญาติโยมคะยั้นคะยอให้ท่าน "อะไรซักคำ-สองคำ" ประมาณนั้น

 

       ท่านเจ้าประคุณสมเด็จต้องพยายามเค้นเสียงเพื่อฉลองศรัทธาอยู่พักใหญ่ ก็อย่างที่ได้อ่านกันไป  ผมอยากบอกด้วยความรู้สึกส่วนตัวนิด ในความเป็น "สมเด็จพระราชาคณะ" ท่านต้องเป็นคณะกรรมการมหาเถรสมาคมตามตำแหน่ง แต่ใครก็...วานอย่า "คาดคั้น-มั่นหมาย" ในทำนอง ยกท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ให้ "เหนือวิเศษ" กว่าพระเถระรูปอื่น เข้าไปแล้วจะ "ไปปราบ-ไปกวาดล้าง" แบบนั้น ท่านไม่ใช่พระนักบู๊ โปรดอย่าชี้นำให้คนอื่นๆ พลอยหมายมุ่ง "นอกลู่-นอกทาง" ไปด้วยเลย

 

       ฟังที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพูด ............. เรื่อง "เป็น" กับเรื่อง "ทำ" ก็เป็นที่เข้าใจได้มิใช่หรือ? เคารพ-ศรัทธาในความหมาย "พระดีของแผ่นดิน" อีกรูปหนึ่ง แค่นั้นสังคมชาติจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจาก "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" เลย

 

ถ้าไม่สนใจรู้ว่า...."ท่านสอนอะไร?"

“เปลว สีเงิน”เตือน!!!อย่าชี้นำให้“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์”เข้าปราบ-กวาดล้าง“มหาเถรสมาคม” ยกพระดีของแผ่นดิน ไม่ใช่พระนักบู๊ ???

 

 

 

 

เรียบเรียงโดย : ศิริพงศ์ สำนักข่าวทีนิวส์

ขอบคุณข้อมูล : เปลว สีเงิน นสพ.ไทยโพสต์