ลุยจริงเมื่อไร..สาธุเลย!!! "ชาญชัย" หวดนโยบายปราบโกง "บิ๊กตู่" ทำให้ดูก่อนเอาผิดคนร่วมโกงภาษีหุ้นชินคอร์ป+ทุจริตรถไฟฟ้าสายสีแดง โยงพานทองแท้-รัฐบาลยิ่งลักษณ์??

ภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ได้ประกาศนโยบายในการปราบโกงและจะมีการจัดประชุมศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ที่มีการตั้งนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ศอตช. คนใหม่ ล่าสุด วันนี้ (2 ก.พ.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในการสะสางการทุจริตคอร์รัปชั่น

 

 

 

 

 

 

โดยนายชาญชัย กล่าวว่า ตนได้ตั้งข้อเรียกร้อง 2 เรื่อง เป็นการทุจริตที่มีใบเสร็จหลักฐานชัดเจนคือ 1.กรณีศาลอาญาพิพากษา ตัดสินจำคุก อดีตรมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมายกระทรวงการคลังและเจ้าหน้าที่รวมทั้งสิ้น 4 ราย 2.กรณีที่ออกหนังสือยืนยันว่านายพานทองแท้ ชินวัตร และน.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของนายทักษิณฯ ซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ราคาพาร์ 1 บาท จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาทว่า ไม่ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากร ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐคนละ 5.7 พันล้านบาท

 

 

 

 

 

 

โดยกรณีนี้ ทางศาลอาญาได้ตัดสินให้ยึดทรัพย์ เรื่องนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สามารถเข้ามายึดอายัดทรัพย์ได้ เพื่อตรวจสอบตามมูลฐานความผิดกฎหมายฟอกเงินได้แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ซึ่งทราบว่าในการประชุม ศอตช. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 59 ที่ผ่านมา มีมือมืดดึงเรื่องนี้ออกจากแฟ้มวาระการประชุม และรัฐบาลจะมีการประชุม ศอตช. ในสัปดาห์นี้ จึงขอเตือนให้อย่าให้มีมือมืดดึงเรื่องการทุจริตต่างๆ รวมถึงกรณีคิงเพาเวอร์ ออกจากแฟ้มวาระการประชุมอีก ไม่เช่นนั้น ตนจะแถลงข่าวแฉให้สังคมทราบว่าใครเป็นคนดึง และใครเกี่ยวข้องอย่างไร

นี่ถือเป็นตัวอย่างของการทุจริต ที่มีอดีตรัฐมนตรีและเจ้ารัฐฝ่ายกฎหมายของกระทรวง เอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องหลบเลี่ยงนการจ่ายภาษีแก่รัฐ ซึ่งศาลอาญาตัดสินแล้ววว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นกระบวนการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อหาผลประโยชน์ แต่ไม่เข้าใจว่าคนระดับอธิบดีกรมสรรพากร กล้าประกาศอย่างเป็นทางการ ว่าเลิกหาตัวคนชดใช้ภาษีคืนให้รัฐจากกรณีซื้อขายหุ้นชินคอร์ป หากเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่าเข้าข่ายมาตรา 157 หรือไม่อย่างไร

 

 

 

 

 

 

ส่วนกรณีที่ 2.คือการทุจริตโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่ผู้ว่ารฟท. สั่งให้คณะกรรมการกำหนดราคากลาง ตั้งวงเงินในการก่อสร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ค. 51 กำหนดค่าก่อสร้างงานโยธา และระบบอาณัติสัญญาณ รวมวงเงินทั้งสิน 73,347 ล้านบาท  ต่อมามีการตรวจสอบปรับลดวงเงิน โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 52 ปรับลดเหลือ 61,278 ล้านบาท

 

 

 

 

 

 

โดยแบ่งเป็น 4 ช่วงของการก่อสร้างตลอดเส้นทาง ซึ่งมี 4 บริษัทใหญ่เข้าประมูล จนกระทั่งวันที่ 4 ก.ค. 54 หลังประกาศผลการเลือกตั้งในปีนั้นเพียง 1 วัน ก็ได้มีการยื่นราคากลาง โดยบริษัทชิโนไทย เปิดซองประมูล และทราบผลการเลือกตั้งแล้วว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ร่วมรัฐบาลในครั้งนั้น โดยกลัวว่าจะไม่ได้งาน จึงลดราคาจากการประมูลลงมาอีกประมาณ 3,000 ล้านบาทเศษ

 

 

 

 

 

 

ชี้ให้เห็นว่า ราคาประมูลงานของบริษัทสูงกกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ ยังเป็นราคาที่สามารถลดได้ แต่กลับปรากฏว่าในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ผู้ว่ารฟท. และบอร์ด มีมติให้หาราคากลางที่เหมาะสม โดยอ้างว่าระเบียบสามารถเพิ่งหรือลดวงเงินได้อีก 10% คิดเป็นเงิน 7,500 ล้านบาท ซึ่งรัฐาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มวงเงิน ทั้งที่เงินลงทุนดังกล่าว เป็นเงินกู้จากไจก้า ของญี่ปุ่น ถือว่าเป็นการทำผิดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ผิดTOR และผิด พ.ร.บ. การเสนอราคา พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว)

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม นายชาญชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ถือเป็น 2 ตัวอย่างโครงการทุจริตที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ควรสะสาง โดยเฉพาะโครงการสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ในอดีต ที่มีการบวกตัวเลขจากราคากลางไว้อย่างไร แม้จะส่งเรื่องร้องไปยัง ป.ป.ช. แล้วแต่ก็ถูกดองเค็มไว้ ไม่ได้ทำอะไร ทั้งๆ ที่ป.ป.ช. มีหน้าที่ดังกล่าว เนื่องจากเม็ดเงินหลายหมื่นล้านบาทจากหลายๆ โครงการ รวมกันแล้วได้หลายแสนล้านบาท หากรักษาผลประโยชน์ของรัฐไม่ได้ ก็ขอให้นายกฯ ใช้ ม.44 ย้ายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต ซึ่งปัจจุบันยังนั่งอยู่ในตำแหน่งให้คุณและโทษได้ออกไปก่อน และขอให้ใช้กฎหมาย ปปง. เข้ายึดอายัดทรัพย์เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของที่มาที่ไปของทรัพย์สิน การปราบโกงจึงจะสำเร็จ.

 

 

 

เรียบเรียงโดย กำพลาภร สำนักข่าวทีนิวส์