รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th

       จากกรณีที่ศาลอ่านคำพิพากษาคดีชายชุดดำ ซึ่งมีจำเลย 5 คน ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตและพกพาอาวุธไปในที่ชุมชน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ระหว่างปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ของศอฉ. ต่อการชุมนุมของกลุ่มนปช. ซึ่งในวันดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตหลายราย มีทั้งประชาชน และที่เป็นทหาร หนึ่งในนั้นคือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (ยศขณะนั้น) ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง จำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3,4,5 นั้นยังมีเหตุแห่งความสงสัยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์

 

       ทั้งนี้ จำเลยทั้งห้าได้แก่ จำเลยที่ 1 นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี หรืออ้วน อายุ 47 ปี อาชีพ รับจ้าง (ขับรถตู้วิน) จำเลยที่ 2 นายปรีชา อยู่เย็น หรือไก่เตี้ย อายุ  27 ปี อาชีพ รับจ้าง จำเลยที่ 3 นายรณฤทธิ์ สุวิชา หรือนะ อายุ 35 ปี อาชีพ รับจ้าง จำเลยที่ 4   นายชำนาญ ภาคีฉาย หรือเล็ก อายุ 47 ปี อาชีพ รับจ้าง  จำเลยที่ 5 นายปุณิกา ชูศรี หรืออร อายุ 41 ปี อาชีพรับจ้าง (แม่ค้าขายข้าวแกง)

รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

       โดยเมื่อได้ดูคำพิพากษาบางส่วน ทำให้ทราบว่าฝ่ายโจทก์มีพยานบุคคลที่สำคัญ ทำให้การพิจารณาของศาลออกมาอย่างที่เป็นที่รับทราบของสาธารณะอยู่ในขณะนี้ ซึ่งคำพิพากษาของศาลได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงพื้นฐานที่รับฟังได้ว่า “ มีชายสวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าเข้าไปในที่เกิดเหตุ และตำรวจได้ยึดปืนจากชายคนหนึ่งที่หลบหนีไปไว้ได้ ระหว่างนั้นมีการยิงปืนและระเบิดทำให้ทหารประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมามีผู้แจ้งว่าพบรถฮอนด้าซีวิคจอดทิ้งไว้ที่อพาร์ตเมนต์บ้านริมน้ำ ตรวจพบวัตถุระเบิดและอาวุธปืน นอกจากนี้ยังพบรถตู้สีขาวจอดทิ้งไว้หน้าบริษัทเทเวศประกันภัย ถนนราชดำเนินกลาง ซึ่งมีชื่อของบุคคลหนึ่งเป็นเจ้าของซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ให้ นายธนเดช หรือนายไก่ ผู้ต้องหาอีกคนที่ไม่ได้ตัวมาฟ้องในคดีนี้เช่าไปขับรถรับจ้าง ต่อมา พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ได้อาศัยกฎอัยการศึกและคำสั่งหัวหน้า คสช.นำตัวจำเลยทั้ง 5 คนมาสอบปากคำและจำเลยทั้ง 5 คนได้ให้ถ้อยคำไว้ เมื่อส่งมอบตัวให้ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยทั้ง 5 ให้การรับสารภาพ

รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

       ส่วนการวินิจฉัยว่าจำเลยผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าในส่วนจำเลยที่ 1 นั้นมีพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารม้าและเป็นพลขับรถฮัมวีนำกำลังพลมาในวันเกิดเหตุ ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังพลในเวลา 21.00 น.ขณะจอดรถบริเวณจุดเกิดเหตุ พบรถตู้สีขาววิ่งสวนมาและชะลอ จำเลยที่ 1 ได้ลดกระจกชะโงกหน้ามาด่าพยาน และพยานเห็นปืนอาก้า ปืนเอ็ม 16 วางอยู่ที่พื้นรถและเบาะหลัง แม้รถจะวิ่งสวนกันใช้เวลาไม่นานยากที่จะจดจำรายละเอียด และพยานก็ไม่ได้รู้จักกับจำเลย แต่เมื่อพิจารณาว่ารถฮัมวีมีพวงมาลัยอยู่ทางซ้าย รถตู้ขณะวิ่งสวนก็ชะลอความเร็ว เป็นไปได้ที่จะทำให้เห็นหน้าชัดเจน นอกจากนี้พยานที่เป็นทหารอาจจะมีความสามารถจดจำเหตุการณ์ เป็นคนช่างสังเกต ประกอบกับพยานโจทก์อีกคนหนึ่งคือ พี่สาวของนายธนเดช ที่มาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1 อยู่วินรถตู้เดียวกันกับน้องชาย วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และพวกมีการขนกระเป๋าสีดำยาวขึ้นรถ คืนก่อนเกิดเหตุก็เห็นอาวุธปืนโผล่ออกจากกระเป๋าดังกล่าวด้วย พี่สาวนายธนเดชรู้จักกันดีกับจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ไม่มีเหตุโกรธเคืองให้ต้องปรักปรำจำเลยที่ 1 หากจะปรักปรำหรือถูกข่มขู่ให้กลัวตามที่จำเลยต่อสู้ พี่สาวนายธนเดชย่อมต้องให้การรวมไปถึงจำเลยคนอื่นๆ ด้วยแต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เชื่อว่าเป็นการเบิกความตามจริง ตรงไปตรงมา สอดคล้องกับที่พ.อ.วิจารณ์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 รับว่าได้ติดต่อวางแผนระดมคนกับนายธนเดชเพื่อไปต่อต้านทหาร และจำเลยที่ 1 ยิงปืนใส่ทหาร ที่จำเลยอ้างว่าทหารข่มขู่จึงรับสารภาพเพราะกลัวจะเกิดอันตราย เมื่อฟังบันทึกเทปคำให้การปกติและพยานทุกคนก็เบิกความสอดคล้องต้องกันจึงไม่น่าเชื่อว่าจะถูกซ้อม นอกจากนี้ข้อต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 เดินทางกลับลำปางในเวลา 20.00 น.ก็ไม่มีพยานยืนยัน

รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

       ส่วนของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลอ้างถึงพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจ 2 คนที่แฝงตัวอยู่ในที่ชุมนุม ซึ่งเบิกความไว้ว่า การ์ดของผู้ชุมนุมได้จับชายสวมหมวกไหมพรม 2 คน เมื่อเปิดหมวกออกพบเป็นจำเลยที่ 2 จึงถ่ายรูปไว้ ขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นหลบหนีไปได้และตำรวจได้ยึดอาวุธของคนนั้นไว้ได้ ศาลเชื่อว่าตำรวจแฝงตัวไปในวันเกิดเหตุจริง จำเลยที่ 2 ก็รับว่าเป็นการ์ดและต่อสู้ว่าวันเกิดเหตุไปรับจ้างเดินสายไฟที่ศูนย์ราชการ แต่ไม่มีพยานบุคคลหรือสัญญาจ้างมายืนยันทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่ยาก จึงเป็นคำเบิกความที่ไม่น่าเชื่อถือ ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 รับสารภาพข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธ แต่ปฏิเสธข้อหาสะสมกำลังพลเพื่อก่อการร้าย เห็นชัดเจนว่าเป็นการรับสารภาพโดยสมัครใจ ไม่เช่นนั้นก็ต้องปฏิเสธข้อหานี้ด้วย ส่วนที่สู้ว่าภาพชายชุดดำที่ถูกถอดหมวกไหมพรมออกเป็นภาพตัดต่อนั้น ไม่ปรากฏว่ามีข้อพิรุธหรือข้อบ่งชี้ดังกล่าว จึงเชื่อว่าเป็นภาพจริง

 

       ส่วนจำเลยที่ 3, 4, 5 นั้นมีเพียงบันทึกซักถามและการรับสารภาพในชั้นสอบสวน แม้โจทก์จะมีทหารและพนักงานสอบสวนมาเบิกความแต่บันทึกซักถามดังกล่าวก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าและเป็นพยานซัดทอด ซึ่งต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง ต้องมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือพยานแวดล้อม แต่ไม่ปรากฏพยานปากใดยืนยันว่าจำเลยที่ 3-5 เป็นคนร้าย แม้โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยที่ 3-4 มีความเกี่ยวพันเป็นการ์ด จำเลยที่ 5 เข้าไปขายข้าวไข่เจียวในที่ชุมนุม แต่ไม่ได้หมายความว่า จำเลยที่ 3-5 จะครอบครองอาวุธปืน มีเหตุให้สงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 3-5

 

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษในคดีครอบครองอาวุธคนละ 8 ปี คดีพกพาอาวุธคนละ 2 ปี รวมเป็นจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 ยกฟ้อง แต่ให้ขังระหว่างอุทธรณ์

รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

       ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี หนึ่งในทีมทนายจำเลย กล่าวด้วยว่า จำเลยทั้ง 5 คนถูกดีเอสไอแจ้งข้อหาเพิ่มเติม คือ ข้อหาก่อการร้าย แต่อัยการไม่สั่งฟ้อง ขณะนี้กำลังรอคำชี้ขาดจากอธิบดีดีเอสไอ ส่วนพยานที่ศาลอ้างเพื่อลงโทษจำเลยที่ 1-2 นั้น ปากหนึ่งคือ พี่สาวนายธนเดชหรือไก่ พยานปากนี้เคยให้การในคดีที่เกี่ยวพันกันคือเรื่องอาวุธในรถฮอนด้า ซีวิค ซึ่งศาลยกฟ้องไปแล้ว โดยศาลเห็นว่าพยานปากนี้รับฟังไม่ได้ ให้การในชั้นตำรวจอย่างหนึ่ง ในชั้นศาลอีกอย่างหนึ่ง ขัดแย้งกันในสาระสำคัญ ส่วนพยานที่เป็นทหารม้าที่เป็นพลขับรถฮัมวีที่ระบุว่าจำเลยที่ 1 ลดกระจกลงตะโกนด่าเขานั้นก็เคยเบิกความในการไต่สวนการตายคดีนายฮิโรยูกิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ในครั้งนั้นเขาเบิกความถึงรถตู้ที่วิ่งสวนมาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นใคร เนื่องจากคนในรถตู้สวมหมวกไหมพรม เห็นแต่ลูกตา และไม่ได้เบิกความว่าเห็นอาวุธบนเบาะรถแต่อย่างใด

 

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการหลบหนีอีก 2 ราย ประกอบด้วย

 1.นายธนเดช เอกอภิวัชร์ หรือ ไก่รถตู้ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 16001/2557 ลงวันที่ 10 ก.ย.2557

2.นายวัฒนะโชค จีนปุ้ย หรือโบ้ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1602/2557 ลงวันที่ 10 กย.2557

รู้หรือไม่??ใครพยานปากเอกมัดชายชุดดำ!!! ที่แท้พี่สาว1ในผู้ต้องหา แฉจำเลยอยู่วินรถตู้เดียวกับน้องขับไปคืนเกิดเหตุแยกคอกวัวเห็นขนปืนขึ้นรถ???

 

เรียบเรียงโดย : ศิริพงศ์ สำนักข่าวทีนิวส์