- 24 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม http://deeps.tnews.co.th/
ยังคงเป็นเรื่องแปลกแต่จริงกับสังคมไทย และไม่รู้ว่าประเด็นอย่างนี้จะได้รับการแก้ไขให้หมดสิ้นไปได้เมื่อไร ?? สำหรับการที่นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีอาญาและผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลยุติธรรม ใช้ช่องว่างตามประมวลกฎหมายอาญา ย้อนกลับมาพึ่งพาอำนาจกระบวนการยุติธรรมเดินหน้า ฟ้องร้องเอาผิดกับบุคคลอื่น ทั้ง ๆ ที่หลายปีที่ผ่านมา จะว่าไปแล้วโดยพฤติการณ์ของนายทักษิณ เท่ากับว่าไม่เคยยอมรับกฎเกณฑ์ กติกากฎหมายไทย ???
ประเด็นสำคัญไม่ใช่เฉพาะกับ “สำนักข่าวทีนิวส์”สื่อมวลชนรายล่าสุด ที่ถูกนายทักษิณส่งทนายยื่นฟ้องดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) (5)ก่อนหน้านี้นายทักษิณซึ่งหลบเลี่ยงหนีคดีอาญา จนโดนออกหมายจับหลายคดีไปตะลอนชีวิตในต่างประเทศ เคยฟ้องสื่อมาหลายสำนัก และรวมถึง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา
(คลิกอ่านข่าวเกี่ยวข้อง รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ "คุณทักษิณ" แจ้งความดำเนินคดีผม จะดี... ถ้าใจกล้าๆ มาแจ้งเอง!?! )
ก่อนหน้านั้น นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา เคยแสดงความเห็นเกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ภายหลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และมาตรา 216 มีใจความสำคัญดังนี้
“ที่ผ่านมาสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติให้แก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และมาตรา 216 อันเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกาของจำเลย คือ
.....ตามมาตรา 198 บัญญัติว่า ถ้าจำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ หากจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จำเลยจะต้องมาแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
.....การยื่นฎีกาตามมาตรา 216 ก็ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 มาใช้บังคับคือ ถ้าจำเลยที่ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกและไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ หากจำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา จำเลยจะต้องมาแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นฎีกา มิฉะนั้นให้ศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกา
..กล่าวโดยสรุปก็คือจำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจะยื่นอุทธรณ์ หรือศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจะยื่นฎีกา ถ้าจำเลยมิได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ จำเลยจะต้องไปแสดงตัวต่อเจ้าพนักงานศาลในขณะยื่นอุทธรณ์หรือยื่นฎีกา มิฉะนั้นศาลจะมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกา ....ย่อมให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จำเลยที่หลบหนีการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลจะให้ทนายความยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาแทนไม่ได้อีกแล้ว
ประเด็นสำคัญ นายชูชาติ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา เขียนท้ายความเห็นไว้ด้วยว่า “เมื่อแก้บทบัญญัติกฎหมายในลักษณะดังกล่าวแล้ว ..... สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ควรแก้ไขเพิ่มประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในบทบัญญัติส่วนที่เกี่ยวกับคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ด้วยว่า ถ้าจำเลยที่หลบหนีการลงโทษตามคำพิพากษาของศาล ห้ามมิให้เป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาล เพราะเมื่อตนเองไม่ยอมรับโทษตามคำพิพากษาของศาล ก็ไม่ควรให้มีสิทธิฟ้องบุคคลอื่นต่อศาลได้ ?? ”
จุดนี้สำคัญเพราะโดยนัย ในฐานะอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา เล็งเห็นชัดเจนว่าช่องว่างของกฎหมายนี้ คือ สิ่งที่นายทักษิณ เลือกใช้กระทำต่อผู้อื่นมาโดยตลอด ส่วนใครคิดจะฟ้องร้องนายทักษิณ ก็เป็นไปได้แค่ยื่นฟ้องแต่สุดท้าย ต้องไปจบด้วยการจำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราว และออกหมายจับจำเลย ซึ่งนายทักษิณในฐานะนักโทษหนีคดีอาญาก็ไม่ยี่หระอยู่แล้ว ???
ขณะเดียวกันเมื่อสืบค้น พบว่าประเด็นเดียวกันนี้นักวิชาการด้านกฎหมายอย่าง รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยแสดงความเห็นในทำนองเดียวกัน มีสาระสำคัญบางช่วงบางตอนระบุว่า การที่ ทักษิณ ไม่ยอมรับโทษตามคำพิพากษา และปฏิเสธว่าตนไม่ผิดตามคำตัดสิน ก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาล ดังนั้นการจะมาพึ่งศาลในการฟ้องคนอื่นเป็นจำเลย ถือเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต และย่อมสมควรแก่เหตุทำให้ระบบกฎหมายและศาลไม่อาจรับรองให้ใช้สิทธิเช่นนั้นได้ ???