- 30 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด deeps.tnews.co.th
ถือเป็นหนึ่งประเด็นร้อนวันนี้ ( 30 มี.ค.) จากจุดเริ่มต้นข้อถกเถียงว่าด้วยร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม ฉบับใหม่ เมื่อมีการกล่าวหาว่ามีความพยายามสอดแทรก โดยผู้มีอำนาจให้เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ จนทำให้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งผู้เห็นด้วยและคัดค้าน ท่ามกลางข้อมูลข่าวซึ่งแสดงเจตนาเพื่อให้เกิดแรงสนับสนุนของแต่ละฝ่าย ท่ามกลางความสับสนของประชาชนว่าควรจะให้น้ำหนักความเชื่อกับใคร อย่างไร ??
เริ่มต้นไล่เรียงข้อมูลดังกล่าวมาจากการเปิดเผยของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี อ้างผ่านจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ระมัดระวังการลงคะแนนเสียง ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม เนื่องจากร่างดังกล่าวมีการยัดไส้มาตรา 10/1 ให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ พร้อมอ้างไปไกลว่ามีการเตรียมการให้กรมพลังงานทหารเป็นหน่วยงานบริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งจะทำให้กิจการน้ำมันของประเทศถอยหลังเหมือนในอดีตที่มีน้ำมัน "สามทหาร"
อย่างไรก็ตามเรื่องทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธว่าคำกล่าวอ้างทั้งหมดไม่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ เป็นกฎหมายเดิมที่มีการยกร่างมาตั้งปี 2557 และมีความพยายามจะผลักดันกฎหมายออกมาก่อนที่ตนเองจะมาเป็นรัฐบาล แต่ก็มีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านจนไม่สามารถออกกฎหมายได้
ส่วนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม โดยให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมานั้น ก็เป็นรื่องของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่จะพิจารณา โดยยืนยันว่าตนเองไม่เคยมีแนวคิดอะไรที่จะให้ทหารเข้ามาดูแล แต่รัฐบาลต้องการให้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมออกมาให้ได้ เพราะต้องดูเรื่องการลงทุนการขุดเจาะน้ำมัน และมีหลายพื้นที่จะต้องเปิดสัมปทาน หากไม่มีวันข้างหน้าพลังงานจะขาดแคลนจึงต้องรีบทำ ส่วนประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งก็ควรได้มีเริ่มต้นศึกษาหาข้อสรุป
ขณะที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ยืนยันว่าไม่มีการสอดไส้การตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่จะเข้าสู่ที่ประชุม สนช.วาระ 2-3 ในวันที่ 30 มี.ค.นี้ โดยเป็นเพียงแค่การแก้ไขกฎหมายของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ส่วนผลการพิจารณาจะออกมาเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับที่ประชุมสนช.
ด้าน พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ในฐานะประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ยืนยันว่า ไม่ได้สอดไส้หรือลักไก่เพิ่มเติมเนื้อหามาตรา 10/1 แต่ทำทุกอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ และได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ก่อนแก้ไขหลักการของกฎหมาย ส่วนการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติก็จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการพลังงานในอนาคต
ทั้งนี้ถึงที่สุดในวันนี้ ( 30 มี.ค.) สนช. ก็จะต้องมีข้อสรุปเรื่อง มาตรา 10/1 ซึ่งระบุข้อความว่า “ ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” อย่างแน่นอน และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าสนช.ชุดนี้จะพิจารณาประเด็นดังกล่าวด้วยความรอบคอบเพื่อผลประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศชาติ
ขณะที่ล่าสุด “สำนักข่าวทีนิวส์” พบว่าเมื่อ วันที่ 23 ม.ค. 2560 ที่ผ่านมากรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ โดย นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ส่งหนังสือ ที่ พน 0305 /190 ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เรื่อง ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อรองรับการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่สิ้นสุดอายุในปี พ.ศ. 2565 และ 2566 ถึง “ประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”
โดยสาระสำคัญของหนังสือฉบับนี้เป็นการให้ข้อมูลต่อคณะอนุกรรมาธิการ ในหลายประเด็น เกี่ยวเนื่องกับขั้นตอนการเตรียมรองรับแผนปฏิบัติต่อการผลิตปิโตรเลียม หลังสิ้นสุดอายุสัมปทานในปี 2565 และ 2566 และมีรายละเอียดบางส่วน ดังต่อไปนี้
กฎกระทรวง กำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้ง ที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559 ข้อ 37 กำหนดให้กรณีของผู้รับสัมปทานในพื้นที่สิ้นสุดอายุสัมปทานในปี 2565 และ 2566 ต้องยื่นแผนงานและประมาณการค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนแท่นผลิตปิโตรเลียมในเดือนก.พ. 2561 และต้องวางหลักประกันเต็มจำนวน ประมาณเดือน ก.ย. 2561 ซึ่งหากผู้รับสัมปทานละทิ้งหน้าที่ไม่วางหลักประกัน รัฐมนตรีสามารถสั่งเพิกถอนสัมปทาน อันจะมีผลให้สัมปทานสิ้นอายุสัมปทานและผู้รับสัมปทาน ต้องส่งมอบแท่นผลิตปิโตรเลียมที่ยังมีประโยชน์ให้แก่รัฐ
แต่ประเด็นที่ถือเป็นจุดพิจารณาของหนังสือฉบับนี้ก็คือข้อความซึ่งกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า “ปริมาณสำรองปิโตรเลียมพิสูจน์แล้วของประเทศไทย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2558 สามารถใช้ประมาณการมูลค่าของปริมาณสำรองที่เหลืออยู่ในพื้นที่สัมปทานดังกล่าว ณ สิ้นปี พ.ศ. 2559 ได้ประมาณ 7 แสนล้านบาท ” และมีข้อความในตอนท้ายว่า การกำกับดูแลการประกอบกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
ตรงนี้สำคัญมาก ๆ และเป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยจะต้องพิจารณาควบคู่ไปพร้อมกับการติดตามว่าผลตัดสินใจของสนช.จะมีความเห็นต่อร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียมอย่างไร ในประเด็นว่าด้วยสูตรการคิดแบ่งรายได้สัมปทานพลังงาน และ จะยังคงมาตรา 10/1 ว่าด้วยข้อความว่า “ ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติเมื่อมีความพร้อม โดยพิจารณาจากผลการศึกษาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดของรูปแบบและวิธีการดำเนินการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” หรือไม่ ??
เพราะต้องไม่ลืมว่าข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งระบุชัดเจนว่าในทะเลอ่าวไทยยังมีมูลค่าปริมาณปิโตรเลียมสำรองเหลืออยู่ในพื้นที่สัมปทานดังกล่าว ณ สิ้นปี พ.ศ. 2559 สูงถึงประมาณ 7 แสนล้านบาท และน่าจะเป็นขุมทรัพย์ด้านพลังงานที่บริษัททุนต่างชาติ หรือ ยักษ์ใหญ่พลังงานอย่าง “บมจ.ปตท.” และ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียมจำกัด(มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ต่างก็เฝ้ารอคอยจะเข้าไปยึดครอง เป็นผลประโยชน์ของตัวเองในอนาคตภายภาคหน้า ???
ขณะที่ น.ส.รสนา โตสิตระกูล แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) เพิ่งให้ความเห็นล่าสุดผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า “มีคำถามว่าจะใช้ ปตท. เป็นบรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้หรือไม่ ? ตอบว่า ไม่ได้ เพราะบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ถือครองทรัพยากรปิโตรเลียมและทรัพย์สินอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแทนคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น ปตท.ที่ถูกแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนจำกัดตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จึงไม่อาจมีอำนาจมหาชนแทนรัฐได้ และไม่มีความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่เป็นบรรษัทน้ำมันแห่งชาติต่อไป เพราะมีเอกชนและต่างชาติถือหุ้นเกือบครึ่ง”