- 08 เม.ย. 2560
ติดตามได้ที่ deeps.tnews.co.th
นาย วีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพ แรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) กล่าวว่า มีแนวโน้มสูงที่ ขสมก.จะต้องล้มละลายหรือปิดตัวลงหากยังไม่ได้รถเมล์ใหม่มาวิ่งบริการภายในระยะเวลา 2 ปี เพราะปัจจุบันรถโดยสารที่มีอยู่ราว 2,600 คันนั้น ส่วนใหญ่อายุการใช้งานมากกว่า 17 ปี ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยในการให้บริการประชาชน เนื่องจากมาตรฐานของสากลในแต่ละประเทศอนุญาตให้รถเมล์โดยสารสาธารณะมีอายุใช้งานเพียง 7-10 ปี อีกทั้งองค์กรยังต้องแบกรับภาระจากค่าซ่อมบำรุงรถเก่าสูงมากเมื่อเทียบกับการจัดซื้อและบริหารรถเมล์ใหม่ประกอบกับตัวองค์กรเองมีภาระหนี้สินมากกว่าแสนล้านบาท และยังขาดทุนถึงปีละ 4,000-5,000 ล้านบาทด้วย
นายวีระพงษ์กล่าวว่า เริ่มมีบางส่วนของสังคมมองว่า ขสมก.อาจถูกบีบให้ยกเลิกบริการในอนาคตจากปัญหาภาระหนี้สินและรายจ่ายที่มากกว่ารายรับหรือสภาวะขาดทุน เนื่องจากในปี 2562 กรมการขนส่งทางบกจะเป็นผู้กำกับดูแลเต็มตัว โดย ขสมก.จะเป็นเพียงผู้ให้บริการจึงมีโอกาสที่รัฐบาลชุดใหม่จะมองว่าองค์การนี้เป็นภาระของการจัดสรรงบประมาณจนต้องยุติแล้วให้เอกชนเข้ามาดำเนินการเดินรถขนส่งประชาชนแทนเพื่อจบปัญหาดังกล่าว
"หาก ขสมก.ยังไม่สามารถจัดหารถเมล์ใหม่มาวิ่งบริการประชาชนได้ ต่อให้เปลี่ยนตัวผู้อำนวยการสัก 100 คนก็แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากสหภาพเรียกร้องรถเมล์ใหม่มานานถึง 14 ปี แต่วันนี้ประชาชนก็ยังไม่ได้ใช้บริการ" นายวีระพงษ์กล่าว
นายวีระพงษ์กล่าวว่า ถ้าหากสุดท้ายแล้วมีบริษัทเอกชนเต็มตัวเข้ามาบริหารงานแทน ขสมก. ภาระที่แท้จริงจะตกไปอยู่กับประชาชนผู้ใช้บริการเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหม่จะต้องสั่งยกเลิกบริการรถเมล์ฟรีบริการประชาชนในวาระสำคัญต่างๆ เช่น งานเทศกาลหรือ พิธีพระบรมศพ ปัจจุบัน ขสมก.มีภาระค่าใช้ จ่ายในส่วนดังกล่าว แนวทางที่จะทำให้ ขสมก.ดำเนินธุรกิจได้ต่อโดยไม่ต้องล้มเลิกกิจ การนั้น ต้องรีบปรับปรุงรถเก่าอายุใช้งานพอได้ประมาณ 600 คัน เพื่อสร้างรายได้ให้องค์กรเดินหน้าต่อไปอีก 5-6 ปี ร่วมกับการเร่งจัดหารถเมล์เอ็นจีวีและรถเมล์พลังงานทางเลือกเพิ่มเติมตามแผนจัดซื้อเดิม เพื่อต่อลมหายใจให้กับ ขสมก.
นายวีระพงษ์กล่าวว่า ด้านการติดตั้งระบบจีพีเอส และอี-ทิกเก็ท (e-ticket) บนรถเมล์ ขสมก.นั้น การนำรถเก่าไปติดตั้งระบบดังกล่าว สุ่มเสี่ยงสิ้นเปลืองงบประมาณ เนื่องจากรถเมล์ดังกล่าวเป็นรถเก่ามีสภาพไม่คงทนในการใช้งานระยะยาว ทำให้ในอนาคตรัฐบาลอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนในการรื้อถอนระบบเพื่อนำไปติดในรถเมล์ใหม่ล็อตต่อไป แต่หากรัฐบาลต้อง การเดินหน้าติดตั้งระบบดังกล่าวจะต้องดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส เพื่อเปิดกว้างให้ผู้ประกอบ การเข้ามาร่วมเสนอราคาโดยไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเอกชนรายหนึ่งรายใดเข้ามาผูกขาด
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า เตรียมเสนอให้ รัฐบาลใช้ ม.44 ในการรับรถเมล์เอ็นจีวี 292 คันที่ติดตั้งจีพีเอส และจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้วมาให้บริการประชาชน ก่อน เนื่องจากเป็นประโยชน์ที่ประชาชนควรได้รับ ขณะที่ศาลปกครองกลางก็ยังสั่งคุ้มครองโครงการดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงขอให้ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
"ในการประชุมบอร์ด ขสมก. 4 ครั้งที่ผ่านมายังไม่สามารถหาคำตอบให้กับสังคมได้ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงควรมีมาตรการรับรถเมล์จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายมาใช้ก่อน ส่วนรถเมล์ที่ติดปัญหาก็ให้ไปว่ากันในชั้นศาล" นายวีระพงษ์กล่าว
