ดึง ปปช.ไล่บี้ ธรรมกาย !! "พุทธอิสระ" บุกสภา จี้ กรธ. สอบองค์กรสงฆ์"ทุจริต" ทำผ้าเหลืองด่างพร้อย ขณะ "ปู่มีชัย" รับแก้ยาก

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ ( 11 พ.ค.) พระพุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ได้ยื่นหนังสือต่อนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อให้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพิ่มเติม เพื่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถตรวจสอบการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าคณะสังฆาธิการและนักการศาสนาอื่นๆที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐได้ โดยพระพุทธอิสระ กล่าวว่า ที่ผ่านมาป.ป.ช.และศาลปกครองเคยตีความว่าไม่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการละเมิดต่อหน้าที่ทุจริตของเจ้าคณะสังฆาธิการ และนักการศาสนาอื่นๆที่ได้รับงบประมาณจากรัฐ เพราะเห็นว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ได้เป็นบุคคลที่ให้หน่วยงานไหนทำหน้าที่ตรวจสอบได้ ทั้งๆที่พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 บัญญัติไว้ในมาตรา 45 ว่าพระภิกษุได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา

 “ขอประธานกรธ.ได้ยกร่างประกอบรัฐธรรมนูญที่สามารถให้สังคมเข้าไปตรวจสอบการทำงานของสงฆ์ การทำงานของนักการศาสนา เพื่อความโปร่งใส เป็นธรรมและทั่วถึง การที่กฎหมายและศาลปกครองไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรมการทำงานของเจ้าคณะปกครองได้ส่วนหนึ่งมาจากอดีตพระเจ้าแผ่นทรงถวายพระเกียรติยศสูงสุดให้แก่คณะสงฆ์ เพราะเป็นผู้ซื่อตรงแต่ปัจจุบันบริบทสังคมเปลี่ยนไป ด้วยช่องว่างนี้ พวกทุจริตชนจึงเข้ามาอาศัยศาสนาเพราะรู้ว่าไม่มีการตรวจสอบ จึงอาศัยนักการศาสนาหามากินและสร้างเครือข่ายจนเป็นภัยความมั่นคง เช่น กรณีธรรมกาย ในวันนี้เรามาถึงกระบวนการปฏิรูปแล้วจะปล่อยไปแบบนี้เดี๋ยวก็มีธรรมกายสอง สาม สี่ ห้า ขึ้นมาอีก จนเราทำอะไรไม่ได้ ฉันเหนื่อยแล้วที่ต้องไปยื่นเรื่องหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้ กรณีที่คณะปกครองละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขอให้นายมีชัย ช่วยถอดเสี้ยนในใจของพุทธบริษัทและศาสนิกชนในศาสนาออกจากใจสักที ”พระพุทธอิสระ กล่าว

ด้านนายมีชัย กล่าวว่า สิ่งที่พระพุทธอิสระยื่นมานั้นมุ่งหมายถึงเฉพาะเรื่องวัดที่ได้รับงบประมาณจากแผ่นดินก็พอมีทางจะดำเนินการได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินที่ประชาชนมีจิตศรัทธาต่อพระคงไปทำอะไรไม่ได้ เพราะการบริจาคเงินให้กับวัดแต่ละวัดก็มีกติกาแตกต่างกันไป ส่วนความเป็นเจ้าพนักงานของพระตามประมวลกฎหมายอาญานั้นต้องยอมรับว่าการปฏิบัติหน้าที่ของพระไม่ได้มีลักษณะของการปฏิบัติหน้าที่ราชการเหมือนกับราชการที่ทำหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐทั่วไป นอกจากนี้ การทำงานของพระก็มีกฎหมายที่ควบคุมอยู่แล้ว เช่น การดำเนินการทางวินัยของสงฆ์ เป็นต้น