- 01 ก.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
ถือเป็นโครงการระบบขนส่งขนาดยักษ์ที่ถูกจับตามองว่าอย่างมากว่า บทสรุปจากการตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. จะออกมาเป็นอย่างไร สำหรับเส้นทางรถไฟสายอีสานที่ชัดเจนแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือไทย-จีน แต่ยังแจ่มแจ้งว่าจุดเริ่มต้นและปลายทางสิ้นสุดจะจบแค่ไหนอย่างไร
เนื่องจากลักษณะโครงการที่เข้าใจกันมาหลายปีก่อนหน้าในยุคพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ทำหน้าที่เป็นรมว.คมนาคม เคยนำเสนอขอความเห็นชอบต่อสนช.เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2557 และได้รับการอนุมัติให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ระบุถึงแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ ขนาดมาตรฐาน หรือ (Standard Gauge) ระยะทาง 734 กม. ในเส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด และอีกหนึ่งเส้นระยะทาง 133 กม. เชื่อมเส้นทางแก่งคอย – กรุงเทพ ??
ในขณะที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางด้าน นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือบอร์ด สศช. นัดพิเศษ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. กรอบวงเงิน 1.79 แสนล้านบาทโดยเป็นการพิจารณาตามระเบียบที่กำหนดไว้ว่าโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ สศช.หลังบอร์ดเห็นชอบแล้ว จะนำผลการประชุมเสนอสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้าและคาดว่าวันอังคารที่ 11 ก.ค. จะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการต่อไป
ขณะที่รายงานข้อมูลของ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุ ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ มี 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 กลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม. ช่วงที่ 2 ปากช่อง-คลองขนานจิตร ระยะทาง 11 กม. ช่วงที่ 3 แก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 119.5 กม. ช่วงที่ 4 แก่งคอย-บางซื่อ ระยะทาง 119 กม. ซึ่งการดำเนินการก่อสร้าง 3.5 กม. เป็นเพียงการเริ่มต้นก่อสร้างในช่วงแรก จาก 4 ช่วง และจะดำเนินการก่อสร้างต่อเนื่องจนครบ 4 ช่วง รวม 253 กม.
จากแนวคิดที่แตกต่าง ท้ายสุดก็นำมาซึ่งประเด็นปัญหาทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการตัดสินใจของกระทรวงคมนาคมในยุคของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เรื่องแผนก่อสร้างโครงการรถไฟไทย-จีนจะตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในอนาคตหรือไม่ ขณะที่ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊กของนายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ไว้เช่นเดียวกัน และน่าจะสะท้อนข้อเท็จจริงในหลากหลายมุมมองที่ควรได้มีการเจาะลึกมากขึ้น “ถามกันมาเกรียวกราวว่า จากข้อเขียนของ ดร.อัครเวช โชตินฤมล นักวิชาการอิสระ ที่ว่าจีนตัดไทยออกจากเส้นทางสายไหมทั้งทางบกทางทะเลและทางแม่น้ำโขงจริงหรือไม่?ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนวันพระราชสมภพในสมเด็จพระเทพฯปีก่อน ก็ตอบได้ว่าจริง เขาเตรียมการหลายอย่างเพราะรู้ว่าเราเบี้ยวเขาทุกกรณี และแท้จริงจีนก็ทราบดีว่าคนบางกลุ่มของเราจะล้มโครงการรถไฟไทย-จีน ที่ลงนามกันไว้เมื่อ 19 มกรา 58 และยกเรื่องรถไฟให้ญี่ปุ่นทุกเส้นทาง
แต่หลังเหตุการณ์ต้นเดือนเมษา 59 ที่นายจาง เต๋อเจียง กรรมการประจำกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือโปลิสบูโร 1 ใน 7 ผู้นำสูงสุดของจีน ในฐานะประธานสภาประชาชนแห่งชาติได้ต้อนรับ VVIP จากประเทศไทยที่มหาศาลาประชาชนแล้ว ทางจีนก็ได้ชะลอมาตรการทั้งหลายไว้ รวมทั้งได้ปล่อยน้ำจากเขื่อนอย่างมีแผนตลอดทั้งปีเพื่อให้การเดินเรือและการมีน้ำใช้ของปลายน้ำทำได้ตลอดปี จีนจึงยังไม่ได้ใช้มาตรการใดๆกับไทย ยังคงพยายามสนองตามเดิม
ทว่าจนถึงวันนี้โครงการรถไฟไทยจีนก็ไม่ไปไหนแต่จะไปกลางดง แล้วใครเขาจะรอในขณะนี้เส้นทางสายไหมทางบกสู่อาเซียนนั้น โครงการรถไฟทางคู่ขนทั้งคนทั้งของ ระบบรางมาตรฐานความเร็ว 180 กม. ต่อ ชม. จากคุนหมิง-พม่า คุนหมิง-เวียดนาม-เขมร และ คุนหมิง-เวียงจันทน์ ลงมือสร้างกันหมดแล้วทางแม่น้ำโขง สมาชิกทั้ง 5 ชาติคือ จีน , พม่า , ลาว , เวียดนาม และ เขมร เขาเดินหน้าโครงการพัฒนาแม่น้ำโขงให้เดินเรือขนาดใหญ่ระวาง 500 – 1,000 ตัน ขนตู้คอนเทนเนอร์ 40 – 100 ตู้ได้ และมีเรือท่องเที่ยวยักษ์เปิดเส้นทางท่องเที่ยวถึงกันเอิกเกริก ส่วนไทยเราไม่ทำอะไร กลับปล่อย NGO อาละวาด จนเขาตัดเส้นทางไปหลวงพระบางไปแล้ว เราต้องใช้เรือหางยาวข้ามฟากกันต่อไป
ส่วนเส้นทางสายไหมทางทะเล อินโดก็ตัดหน้าเป็น HUB เส้นทางสายไหมทางทะเล ระหว่างจีนกับอาเซียนใต้และร่วมมือกับมาเลย์ สิงค์โปร์ บรูไน โลดไปแล้ว เราก็ต้องใช้ท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุดไปญี่ปุ่นแค่นั้นแหละ นี่หละฝีมือ Deep State ของไทย แล้วจะมีสักกี่คนเล่าที่รู้เท่าทัน จับตาการมาเยือนไทยของประธาน AIIB ช่วงกลางกรกฎาคมนี้ครับ งานนี้เป็นวาระตัดเชือกครับ แม้ว่าจะมีมือดีชิงตัดหน้าไปสัญญาร่วมมือกันก่อนแล้ว แต่ขอให้วางใจนายกฯตู่เถิด เรื่องร้ายจะกลายเป็นดีเอง อย่าลืมสิว่านายกฯตู่คือผ้นำต่างประเทศคนแรกที่ประกาศสนับสนุนยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมในการประชุมเอเปคสมัยที่ 22 ที่ปักกิ่ง และนำประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ AIIB