ปล่อยไม่ไหว?! "ป.ป.ท.-พส." ผนึกรื้อใหญ่จ่ายเงินคนจน หลังพบโกงเงินฯ แผ่ลามค่อนประเทศ

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

 


วันนี้ (22 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประชุมร่วมกับ พ.ท.กรทิพย์ ดาโรจน์ เลขาธิการ ป.ป.ท.เพื่อประสานข้อมูลการตรวจสอบทุจริตจ่ายเงินสงเคราะห์ให้กับผู้ยากไร้และบุคคลไร้ที่พึ่ง รวมถึงวางแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ในปีงบประมาณ 61 ซ้ำรอยปีงบประมาณ 60 โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ

 นางนภา เปิดเผยหลังการหารือว่า ในการตรวจสอบ ป.ป.ท.เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบ ส่วน พส.ให้ความร่วมมือในการจัดส่งเอกสาร ซึ่งวันนี้ได้หารือกันถึงจุดอ่อน จุดเสี่ยง เพื่อป้องกันปัญหา แต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียด ภาพรวมคือการทุจริตทั่วไป แต่ในเชิงลึกได้วางแนวทางได้แก้ไขวิธีการจ่ายเงิน โดยการโอนเข้าบัญชีด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (อีเปย์เม้นท์) หรือพร้อมเพย์แม้จะมีข้อจำกัดชาวบ้านในพื้นที่อยู่ห่างไกล แต่ปัจจุบันระบบอีเปย์เม้นท์เข้าถึงพื้นที่มากพอสมควร ส่วนกรณีเกิดภัยพิบัติเร่งด่วนที่ต้องจ่ายเงินช่วยเหลือเป็นเงินสด ต้องมีบันทึกหลักฐานจ่ายเงินให้ชัดเจนและมีการบันทึกภาพ เพื่อยืนยันว่ามีการจ่ายเงินจริง นอกจากนี้ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เล็งเห็นปัญหาที่ผอ.ศูนย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการพิจารณาคุณสมบัติผู้ยากไร้ที่ควรได้รับการสงเคราะห์ จึงมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นพิจารณาคุณสมบัติ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ

เมื่อถามว่า ผลการตรวจสอบพบทุจริตหลายจังหวัด เกินกว่าครึ่งของประเทศ หากต้องย้ายผอ.ศูนย์ฯทั้งหมด จะบริหารงานต่อไปอย่างไร นางนภา กล่าวว่า ในกรณี ผอ.ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งถูกย้าย จะให้ผู้ช่วยหรือผู้ที่มีความเหมาะสมขึ้นมาปฏิบัติงานแทนชั่วคราว ซึ่งจะไม่กระทบต่อการทำงานของกรม. ส่วนกรณีล่าสุดที่พบการทุจริตเงินอุดหนุนพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงได้มีคำสั่งย้ายหัวหน้าเขตเข้ามาประจำกรม เพื่อให้เกิดความสะดวกในการสอบวินัยร้ายแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าเขตมีความผิดแล้ว หลังสรุปผลสอบหากพบว่ามีความผิดวินัยจริงก็ต้องลงโทษตามลำดับโทษ ที่ผ่านมาในการเบิกจ่ายงบช่วยเหลือ กรมได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจเอกสารฎีกาเบิกจ่าย และสัมภาษณ์ชาวบ้านแต่เอกสารถูกต้องทั้งหมดไม่พบการทุจริต เพราะการดำเนินการอยู่ในอำนาจของพื้นที่


โดยนางนภา ยังระบุด้วยว่า คนจากส่วนกลางไม่ทราบข้อเท็จจริงมากไปกว่าคนในพื้นที่ ที่สำคัญการช่วยเหลือของรัฐไม่ได้ช่วยเหลือเฉพาะเงินอุดหนุนอย่างเดียว แต่ยังมีการส่งเสริมอาชีพ หรือการรักษาพยาบาล โดยการช่วยเหลือเงินสงเคราะห์เป็นเพียงปัจจัยเดียว จนกระทั่งป.ป.ท.ลงตรวจสอบทุจริต ซึ่งพส.ต้องรอ ป.ป.ท.ตรวจสอบให้เสร็จสิ้น จึงจะทราบว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดจากจุดใดบ้าง


"สำหรับชาวบ้านที่เป็นผู้มีสิทธิ์ควรได้รับเงินสงเคราะห์ แต่ไม่เคยได้รับเงินเลย จะต้องรอให้การตรวจสอบทุจริตเสร็จสิ้นก่อน จากนั้นกรมจะเข้าไปดูอีกครั้งว่ายังจำเป็นต้องได้รับการสงเคราะห์อย่างไร ในจุดนี้ต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป" นางนภา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ด้าน พ.ท.กรทิพย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมหารือเพื่อวางแนวทางป้องกันการทุจริต ทั้งในเชิงระบบและตัวบุคคล