คุก2ปีไม่รอลงอาญา"พ.ต.อ.ชาญชัย"ติดสินบนตุลาการรธน.30ล้านช่วยคดียุบทรท.

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุกจาก 3 ปี เหลือ 2 ปี "พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ" คดีติดเงินสินบนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 30 ล้านบาท เพื่อช่วยคดียุบพรรคไทยรักไทย ปี 49 ระบุจำเลยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง แต่ยืนไม่รอลงอาญา
         

วันนี้ (19 ก.พ.)  ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.3559/2556  ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีต ผกก.สภ.ต.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม ในความผิดฐานผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน ฯ เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 และผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานตำแหน่งตุลาการ อัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167
         

คดีนี้ โจทก์เมื่อวันที่ 25 ก.ย.2556  บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุป เมื่อวันที่ 16 – 22 ต.ค.2549 จำเลยได้ไปพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ห้องทำงานที่ศาลฎีกา แล้วรับว่าจะให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทแก่ ม.ล.ไกรฤกษ์ เพื่อให้ช่วยเหลือในการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี  อ้างเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ ม.ล.ไกรฤกษ์ การไปพบก็เพื่อส่งหนังสือเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่น  และการกล่าวถึงสินบนก็เพียงพูดคุยหยอกล้อในฐานะเพื่อนเท่านั้น  เพราะขณะนั้นมีข่าวลือเรื่องวิ่งเต้นคดี
         

ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2557 ว่า โจทก์ มี ม.ล.ไกรฤกษ์ เป็นพยานเบิกความ  ซึ่งพยานโจทก์ ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะที่การกระทำของจำเลย ถือเป็นการเห็นแก่ตัว ทำลายความเชื่อถือและศรัทธาของระบบศาลและตุลาการซึ่งถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน จึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167 ให้จำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ต่อมาจำเลย ยื่นอุทธรณ์

วันนี้  ศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นว่า โจทก์ มี ม.ล.ไกรฤกษ์ เป็นพยานเบิกความว่า หลังจบการศึกษานิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จำเลยและพยานไม่เคยติดต่อพูดคุยกัน แต่เมื่อได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  จำเลยได้ขอเข้าพบมาแสดงความยินดีและและพูดคุยว่าจำเลยเป็นหนี้บุญคุณ  คุณหญิงอ้อ ถ้าพยานยอมช่วยเหลือจะได้รับเงิน 15 ล้านและจำเลยขอส่วนแบ่ง 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาวันที่ 22 ต.ค.2549  จำเลยยังมาพบกับพยานอีกครั้งที่บ้านอ้างนำบัตรเชิญเลี้ยงรุ่นมาให้และพูดลอย ๆ ว่า 30 ล้าน  พยานจึงบอกให้จำเลยกลับไป และห้ามพูดเรื่องนี้อีก  ซึ่งพยาน ได้ทำบันทึก ถึงนายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกาและประธานศาลรัฐธรรมนูญ (ปี 2549)  สอดคล้องกับคำเบิกความ  ของรองเลขานุการศาลฎีกา ในรายละเอียดการทำหนังสือเพื่อส่งถึงนายปัญญา
         

นอกจากนี้  นายจรัญ ภักดีธนากุล , นายอุดม เฟื่องฟุ้ง และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาและอดีตผู้พิพากษา เบิกความว่า ม.ล.ไกรฤกษ์ ได้เล่าเรื่องที่จำเลยเข้าพบแล้วมีการพูดถึงเรื่องเงินให้ฟัง  ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสามปาก  ก็มีตำแหน่งสำคัญ อีกทั้ง ม.ล.ไกรฤกษ์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับจำเลย  และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน  จึงไม่มีเหตุที่จะกุเรื่องปรักปรำจำเลย และขณะนั้นพรรคไทยรักไทยเองก็เป็นรัฐบาล หากปรักปรำก็จะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด
         

ส่วนที่จำเลย อ้างว่าเป็นเพียงการพูดหยอกล้อ  หลังจากที่มีข่าวเรื่องการวิ่งเต้นนั้น  เมื่อฟังได้ว่าตั้งแต่จบการศึกษาจนถึงก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าว ม.ล.ไกรฤกษ์และจำเลยไม่ได้มีความสนิทสนมกันถึงขนาดรับประทานอาหารหรือไปไหนมาไหนด้วยกัน  จึงไม่ใช่เหตุที่พยานจะมาพูดคุยหยอกล้อเรื่องดังกล่าว  และข้อเท็จจริงข่าวการวิ่งเต้นเกิดขึ้นภายหลังจากนายจรัญ ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อเดือน มิ.ย.2550  พยานจำเลยไม่มีน้ำหนัก พยานโจทก์จึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมาที่บ้านพยานและเสนอเงิน 15 - 30 ล้านบาทเพื่อจูงใจให้การตัดสินคดียุบพรรคเป็นประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทย

และการที่จำเลยอ้างว่า ม.ล.ไกรฤกษ์ ไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยตั้งแต่เกิดเหตุ แต่หลังจากนั้น 10 เดือนนายวีระ สมความคิด จึงแจ้งความ คำเบิกความ ม.ล.ไกรฤกษ์  จึงมีข้อพิรุธสงสัยนั้น  ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ชั้นนำสืบได้ความว่า ม.ล.ไกรฤกษ์ กำลังปฏิบัติหน้าที่ตุลาการ และเมื่อนายวีระ แจ้งความแล้ว  จึงไม่ได้ดำเนินการอีก แม้คดีมีเพียง ม.ล.ไกรฤกษ์ เป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว  พยานอื่นเป็นพยานบอกเล่า แต่พยานก็ได้รับความไว้วางใจดำรงตำแหน่งตุลาการที่สำคัญ จากความซื่อสัตย์สุจริต ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเหมาะสมพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
         

ส่วนที่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเคยเป็นตำรวจ  ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม  การกระทำของจำเลยทำให้เสื่อมเกียรติภูมิตุลาการอย่างร้ายแรง  ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกคลางแคลงใจต่อกระบวนการยุติธรรม  จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ แต่ชั้นพิจารณาจำเลยได้รับข้อเท็จจริงตามฟ้อง  จึงมีเหตุบรรเทาโทษ  จึงพิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลย เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
         

ทั้งนี้ ภายหลังจากฟังคำพิพากษา ทนายความของ พ.ต.อ.ชาญชัย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดีในชั้นศาลฎีกา

ภาพจากแฟ้มข่าว