"ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว" ยื่น 1.7 ล้านชื่อ! แนะ "บิ๊กตู่" ใช้ ม.44 ยุติปัญหาปมแต่งตั้ง "สังฆราช" !!

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง www.tnews.co.th

จับตาสถานการณ์ร้อนอย่างใกล้ชิดกับประเด็นการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ทั้งนี้สถานการณ์ล่าสุดได้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งที่รุนแรงโดยเฉพาะในคณะสงฆ์ของประเทศไทย

 

ซึ่งล่าสุดหลวงปู่พุทธอิสระได้ออกมายืนยันว่าจะเดินหน้าคัดค้านอย่างต่อเนื่อง "หลวงปู่พุทธะอิสระ ระบุว่า  ก็ดีสังคมจะได้รู้เสียที ว่ารองวิษณุ จะเลือกข้างไหน " น่าเสียดายนัก กับความเชื่อถือ ความศรัทรา ที่ฉันเคยมีให้ แก่คุณวิษณุ เครืองาม เมื่อครั้งที่ฉันพบปะ พูดคุยกับคุณวิษณุ ให้รู้สึกเลื่อมใส ในความเป็นผู้รอบรู้ ที่มีอยู่ในตัวคุณวิษณุ โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนะธรรม ของชนชาติไทย

ด้วยคำพูดของคุณวิษณุในวันนี้ บวกกับพฤติกรรม ที่คุณวิษณุเมินเฉย ต่อพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช มันทำให้ฉันเสียความรู้สึกยิ่งนักการเมินเฉยต่อปัญหา อลัชชีสงฆ์ธัมมชโย เมินเฉยต่อความรับผิดชอบ ที่มีต่อสังฆมณฑล มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะผู้กำกับดูแลควบคุมนโยบาย เกี่ยวกับศาสนา แต่กลับทำมองไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ละเลย เมินเฉยต่อความถูกต้อง

ในขณะที่อีกฝั่งก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนว่ากระบวนการทั้งหมดต้องเดินหน้าไปสู่การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช นั่นก็คือ สมเด็จพระมหาราชมังคลาจารเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมกับขู่ว่าหากกระบวนการหยุดชะงักลงไปและถึงขั้นชุมนุมของพระสงฆ์

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการนำเสนอผ่านทางโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อโจมตีการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายและให้ข้อมูลสนับสนุนสมเด็จพระมหาราชมังคลาจารย์

ยกตัวอย่าง   

จากเพจตื่นเถิดชาวพุทธ เป็นเครือข่ายธรรมกาย  ออกมาระบุว่าพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช นั้นปลอม โดยมีข้อมูลระบุว่า   พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช จะมีได้เฉพาะในเรื่องที่กฎหมายกำหนด เช่น พระบัญชาแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เป็นต้น ต้องมีหัวกระดาษเป็นตรา “พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช” และเนื้อหาจะต้องมีระบุว่า อาศัยอำนาจตามความในกฎหมายมาตราใดชัดเจน โดยเนื้อหาของพระบัญชาต้องไม่ขัดกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม จึงจะมีผลบังคับตามกฎหมาย

ล่าสุด 10 มกราคม 2559 พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า คำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่บอกว่า 'การเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชต้องดู กฎหมาย ความเหมาะสม ถ้ามีความขัดแย้งต้องรอให้ความขัดแย้งคลี่คลายก่อน' เพราะจากนี้ไปก็ต้องวัดใจรัฐบาลว่า จะเต้นตามกลุ่มกดดัน หรือจะยืนอยู่ข้างพระสงฆ์ทั้งประเทศ ถ้ายืนอยู่ข้างพระสงฆ์ทั้งประเทศก็ขออนุโมทนา แต่ถ้ายืนอยู่ข้างกลุ่มกดดัน คงได้เห็นจีวรพระทั่วประเทศเหลืองอร่ามกลางกรุงเทพมหานครแน่นอน

แต่อีกหนึ่งกลุ่มที่มีความเข้มแข็งและเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชมาโดยตลอดคือ ลูกศิษย์หลวงตามหาบัวที่ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ไขพรบ.คณะสงฆ์

ภาพที่เห็นอยู่ขณะนี้เป็นหนังสือ ด่วนที่สุด เลขที่ พิเศษ 002/2559วันที่ 14 มกราคม 2559เขียนที่วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี 51000

เรื่อง แจ้งเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้ ฯพณฯ ยุติการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เป็นโมฆะและเร่งดำเนินการถวายคืนพระราชอำนาจแด่พระมหากษัตริย์ในการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชในทุกกรณี

ข้อเท็จจริง
2.1 การปกครองสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัยนั้น ต้องยึดถือ “คุณธรรม” เหนือ “อายุพรรษา” และเหนือกว่า “สมณศักดิ์” โดยลำดับ แม่ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประทานแต่งตั้งพระอรหันตสาวกให้ได้รับตำแหน่ง “เอตทัคคะ” มีความยอดเยี่ยมเป็นพิเศษในทางใดทางหนึ่ง แม้เป็นพระอรหันต์สาวกผู้มีคุณธรรมในใจขั้นสูงสุดแล้วได้รับการยกย่องเป็น “เอตทัคคะ” แล้ว ก็ยังเคารพใน “อายุพรรษา” เป็นสำคัญ ไม่ปรากฏว่ามีพระอรหันต์รูปใดล่วงเกินเลย

หากแต่บทบัญญัติตามมาตรา 7 วรรค 2 แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 กลับมีสาระสำคัญที่ตรงกันข้ามกับ “หลักพระธรรมวินัย” ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ข้อกฎหมายนี้ให้ความสำคัญแก่ “สมณศักดิ์” เหนือกว่า “อายุพรรษา” ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบบัญญัติตามมาตรา 7 วรรค 2 นี้ต้องกลายเป็น “โมฆะ”  ในทันทีแล้ว ยังชักพาให้พระในปัจจุบันหลงใหลใฝ่ในลาภยศและสมณศักดิ์ยิ่งกว่ามุ่งหน้าหาธรรม ศาสนาในใจพระจึงเสื่อมทรามลงไปแทบหมดสิ้น

2.2 โบราณราชประเพณี เป็นหลักการที่บูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาช้านานนับพันปี ซึ่งมหาชนชาวสยามก็ได้ให้การยอมรับหลักการนี้ยังความผาสุกร่มเย็นมาสู่ศาสนาจักรและราชอาณาจักรตลอดมา โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างสมบูรณ์ทั้งในการสถาปนาและการปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราชในทุกกรณี แม้ในกาลไหน ๆ จึงไม่ปรากฏว่ามีผู้หน้าด้านคนใดเข้าแทรกแซงหรือก้าวล้วงพระราชอำนาจของพระองค์แต่อย่างใด

หากแต่บทบัญญัติตามมาตรา 7 วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 กลับมีสาระสำคัญที่ตรงกันข้าม “โบราณราชประเพณี” ดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ข้อกฎหมายนี้กลับเปิดช่องให้ “นายกรัฐมนตรี” หรือ “มหาเถรสมาคม” เข้ามาจุ้นจ้าน วุ่นวาย ก้าวก่าย และแทรกแซงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้อย่างหน้าด้านไม่มียางอาย ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้บทบัญญัติตามมาตรา 7 วรรค 2 นี้ต้องกลายเป็น “โมฆะ” ในทันทีแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมที่ได้พิจารณาลงมติลับเพื่อเสนอรายชื่อตามมาตรานี้ไปแล้ว ตลอดถึงรองนายกรัฐมนตรีที่ได้แสดงการยอมรับมติมหาเถรสมาคมในครั้งนี้ไปแล้ว ให้ผีซ้ำด้ามพลอยกลายเป็น “โมฆะบุรุษ” ผู้ก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจตาม ๆ กันไปด้วย

2.3 พฤติการณ์ของกรรมการเถรสมาคมผู้เข้าร่วมประชุมลับ
นายวิษณุ เครืองาม ได้กล่าวยืนยันแล้วว่า บัดนี้มหาเถรสมาคมได้ประชุมลับเมื่อวันที่ 5 มกราคม พร้อมกับได้มีมติเสนอชื่อสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งซึ่งมีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพื่อการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ดังที่ทราบโดยทั่วกันแล้วนั้น

โดยที่มาตรา 15 ตรี แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ได้บัญญัติอำนาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมไว้ในข้อ (4) ต้องรักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา หากแต่โดยความเป็นจริงกลับมีการประชุมลับของมหาเถรสมาคมในวันดังกล่าว ถึงกับมีมติที่ฝ่าฝืนต่อหลักพระธรรมวินัย ให้ความสำคัญแก่ “กฎหมาย” ซึ่งร่างขึ้นโดยปุถุชนคนมีกิเลส ส่งผลให้ “สมณศักดิ์” กลายเป็นสิ่งที่สำคัญเหนือกว่า “อายุพรรษ” หรือเหนือกว่า “พระธรรมวินัย” ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยพระบรมศาสดา มติลับในครั้งนี้ จึงขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายในมาตราดังกล่าวแบบตรงกันข้าม ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นไปเพื่อรักษาแล้ว ยังเป็นมติมหาเถรสมาคมที่เหยียบย่ำหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนที่สุด

นอกจากนี้ เพจพุทธมหาเจดีย์หลวงตามหาบัวฯ ภูผาแดงฯ ได้เผยแพร่กัณฑ์เทศน์สำคัญขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งเมตตาให้สัมภาษณ์นักข่าวไว้เมื่อค่ำวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗ณ สวนแสดงธรรม กทม. แสดงถึงหลักพระธรรมวินัย หลักโบราณราชประเพณี หลักกฎหมาย และข้อปฏิบัติของมหาเถรสมาคมที่เข้ากับกรณี ดังนี้

"สมเด็จพระสังฆราชเราองค์ปัจจุบันนี้ ซึ่งแต่ก่อนมีสมเด็จพระสังฆราชมากี่องค์ ๆ ล้วนแล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแต่งตั้งเอง แล้วก็ทรงทำหน้าที่ของพระองค์เองโดยลำดับลำดา หากจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับสั่งผู้ใดให้มาทำ ก็เป็นเรื่องของพระองค์โดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดที่จะมีอำนาจบาตรหลวงยิ่งใหญ่กว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่องเป็นมาอย่างนี้ดั้งเดิม..

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงแต่งตั้งใครให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ก็ทรงพินิจพิจารณาแล้วว่าสมควรหรือไม่กับจิตใจประชาชน ถ้าไม่สมควร เอาหมาขี้เรื้อนมาตั้งเป็นพระสังฆราช ใครจะไปกราบหมาขี้เรื้อนมันก็รู้อยู่นี่ คนไม่มีคุณธรรมมันก็เท่ากับหมาขี้เรื้อน เหม็นคลุ้งไปทุกแห่งหน ตั้งขึ้นมาแล้วใครจะกราบไหว้ได้ลงคอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงฉลาดแหลมคมขนาดไหน ท่านจะไปตั้งอะไรกับพระประเภทหาคุณธรรมไม่ได้ แต่ปีนเกลียวปีนป่ายอยากได้ยศได้ลาภ เป็นบ้ายศบ้าลาภ ยิ่งขาดคุณธรรมไปมากมาย..

ถ้าไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมายมีเท่าไรก็ไม่มีความหมาย หลักธรรมวินัยต้องยืนตัวไว้ตลอด กฎหมายเข้ามาเสริมต่างหากนะ ไม่เข้ามาลบล้างธรรมวินัยนะ ธรรมวินัยยืนตัวตลอด อะไรที่ขัดต่อธรรมวินัยต้องหยุดทันที ..

มส.(มหาเถรสมาคม) ไม่ได้ใหญ่กว่าพระธรรมวินัย ไม่ได้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า มาตั้งทีหลังนี่นะ เมื่อไม่ควรเคารพ ไม่ควรปฏิบัติตามก็ไม่ปฏิบัติตามได้ เพราะถือหลักธรรมหลักวินัยซึ่งใหญ่กว่า มส.นี้อยู่แล้ว ปฏิบัติตามนี้อยู่แล้ว .. ไม่ใช่ มส.จะใหญ่กว่าพระธรรมวินัยคือองค์ศาสดา ตั้งขึ้นมาเท่าไรๆ ก็ตั้งขึ้นมาได้ ปฏิบัติได้ถ้าถูกไม่ขัดข้องต่อพระธรรมวินัย แต่ถ้าขัดข้องต่อพระธรรมวินัยแล้วไม่เอา .. ไม่ปฏิบัติตามก็ได้เข้าใจเหรอ..."

ขณะเดียวกัน ในหนังสือร้องเรียนยังระบุว่า โดยที่มหาเถรสมาคมได้อ้างเอาบัญญัติแห่งกฎหมายที่เป็น "โมฆะ" แล้วทำการประชุมลับ จนกระทั่งถึงกับมีมติให้เสนอชื่อสมเด็จผู้มีสมณศักดิ์สูงสุดเพื่อการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งกล่าวได้ว่า มีการขวนขวายได้กระทำการจนกระทั่งสำเร็จผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั้น

ด้วยพฤติการณ์ของบรรดากรรมการมหาเถรสมาคมที่เข้าร่วมประชุมและลงมติรับรองในสิ่งอันเป็น "โมฆะ" ครั้งนี้ จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งอย่างยิ่งยวดในขณะนี้แล้วว่า มติที่ประชุมดังกล่าว ได้ถือเอาข้อกฎหมายเข้ามาลบล้างพระธรรมวินัย ลบล้างโบราณราชประเพณีอันดีงาม และได้ก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรงที่สุด กล่าวได้ว่าในประวัติศาสตร์แห่งวงการสงฆ์ไทยยังไม่เคยปรากฏภาพการกระทำอันน่าสลดสังเวชอย่างยิ่งเช่นนี้มาก่อน

4. ข้อเสนอ
4.1 ขอความอนุเคราะห์ ฯพณฯ ยอมรับมติสงฆ์กรรมฐานนำโดยองค์หลวงตาพระมหาบัวฯ ประชามติ 1.7 ล้านรายชื่อ ซึ่งคณะศิษย์คฤหัสถ์และคณะสงฆ์กรรมฐานก็ได้ยื่นต่อ ฯพณฯ ซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8 และ 9 มกราคม 2559 เพื่อตอกย้ำหลักการเดียวกัน

โดยมีความหมายว่าขอให้ ฯพณฯ ใช้มาตรา 44 เข้าแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์มาตรา 7 และ 10 ให้สาระสำคัญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายกลับคืนไปตามฉบับเดิม พ.ศ.2505 ทั้งนี้เพื่อสอดคล้องกับหลักพระธรรมวินัยและราชประเพณี เป็นการถวามคืนพระราชอำนาจ ในการสถาปนาและปฏิบัติต่อสมเด็จพระสังฆราช ถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ห้ามผู้อื่นก้าวล่วงอีกต่อไป

อนึ่ง ประชามติจำนวน 1.7 ล้านรายชื่อ ไม่มีน้ำหนักยิ่งกว่าพระราชปณิธานของบูรพกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ตลอดถึงประชามติของบรรพบุรุษไทยทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่ก่อร่างสร้างเมืองในพื้นที่เขตสุวรรณภูมิแห่งนี้ขึ้น ซึ่งย่อมมีจำนวนมากมายเหลือคณานับ ทั้งนี้ในการเรียกร้องดังกล่าว มิได้เป็นไปเพื่อคณะศิษย์ มิได้เป็นไปเพื่อนิกายนั้นนิกายนี้ซึ่งต่างมีดีชั่วปะปนกันไป และมิได้เป็นไปเพื่อทำให้ฝ่ายนั้นดีฝ่ายนี้เสียแต่อย่างใดทั้งสิ้น หากแต่ข้อเรียกร้องของคณะศิษย์ฯ เป็นไปเพื่อความดีงามของชาติ ศาสน์ กษัตริย์อย่างแท้จริง ชาติบ้านเมืองและสังคมไทยจักวัฒนาสถาพรได้ ต้องเดินต่อไปด้วยความถูกต้องดีงามตามทำนองคลองธรรม

4.2 ในระหว่างแก้ไขกฎหมาย ขอให้ ฯพณฯ ชะลอการทูลเกล้า ฯ รายนามสมเด็จพระราชาคณะตามข้อกฎหมายที่เป็น “โมฆะ” ไว้ ทั้งนี้ไม่สำคัญว่ารายนามนั้นจะเป็นผู้ทรงศีลธรรมหรือเป็นผู้ทุศีลทุธรรมเพียงใดก็ตาม ฯพณฯ ก็ต้องยุติไว้

ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และเพื่อป้องกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณะใดที่ผิดพลาดไปแล้วจากการนำ “กฎหมายมหาภัย” เข้ามาเหยียบย่ำพระธรรมวินัยและทำลายโบราณราชประเพณีอันดีงามให้เสียหาย ฯพณฯ ต้องป้องกันมิให้บรรดาผู้ผิดพลาดไปแล้วเหล่านั้นต้องกระทำการที่ผิดพลาดหนักยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่ง ฯพณฯ เท่านั้นที่จะสามารถยุติการสร้างกรรมหนักที่สุดอย่างหนึ่งในพระศาสนาให้ยุติลงได้ เขาเหล้านั้นจะได้ไม่มีวิบากกรรมหนักติดตัวไป ไม่ว่าในชาตินี้หรือในภพภูมิต่อ ๆ ไป

4.3 หากคณะศิษย์ฯ ได้พากเพียรพยายาม แจ้งเตือน ฯพณฯ ด้วยความหวังดีตลอดมาแม้จนหนังสือฉบับสุดท้ายนี้ เพื่อหวังให้ ฯพณฯ ได้ประจักษ์ถึงปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด และ ฯพณฯ ก็ได้ทราบถึงวิธีการแก้ไขที่ต้นเหตุอย่างชัดเจนแล้ว อีกทั้ง ฯพณฯ ก็อยู่ในฐานะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่สามารถเข้าจัดการได้โดยง่าย

กล่าวโดยสรุปก็คือว่า กลุ่มลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว มองว่าการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ต้องเป้นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี2505 ซึ่งระบุเอาไว้ดังต่อไปนี้

พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี2505 ฉบับที่ยังไม่มีการแก้ไข 
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ.  ๒๕๐๕ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕
หมวด  ๑ สมเด็จพระสังฆราช

มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ทั้งนี้ พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 2 พ.ศ. 2535 ระบุว่า

มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง
ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาอาวุโสสูงสุด โดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ในกรณีที่สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะรูปอื่นผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ทั้งนี้ ที่มาที่ไปของการแก้ไขดังกล่าวสามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังต่อไปนี้ เมื่อปี พ.ศ.2545 เกิดความขัดแย้งในหมู่สงฆ์เกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ โดยกลุ่มสนับสนุนนำโดยพระราชกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย มีแนวร่วมสำคัญคือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

ส่วนกลุ่มคัดค้านหลักคือกลุ่มของพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด หนึ่งในประเด็นร้อนที่สุดขณะนั้นที่ฝ่ายหลังหยิบยกขึ้นมาคัดค้านคือประเด็นที่ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับแก้ไขลิดรอนพระราชอำนาจแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชของพระมหากษัตริย์ ซึ่งด้านหนึ่งถูกมองว่า เป็นความขัดแย้งระหว่างสองนิกาย เป็นเหตุให้ในปี 2546 ถึงกับมีความคิดเล็ดลอดออกมาว่า ควรให้มีสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์จากทั้งสองนิกาย ซึ่งถูกต่อต้านอย่างหนัก

พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ระบุว่า
ความขัดแย้งดังกล่าวสงบลงชั่วคราว จนถึงกลางปี 2547 เมื่อสมเด็จพระญาณสังวรทรงอาพาธ และมีการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งประกอบด้วยสมเด็จพระราชาคณะ 7 รูป มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโน) เป็นประธาน และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระสายหลวงตาบัวนำโดยลูกศิษย์-ทองก้อน วงษ์สมุทร ออกมาคัดค้าน เพราะเห็นว่าเป็นการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 2

ปลายปี 2547 ส.ส.พรรคไทยรักไทย 70 คน ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อให้การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช, ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช หรือคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการแก้ไขมาตรา 7 และมาตรา 10 และการขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไม่ต้องถืออาวุโสตามสมณะศักดิ์ แต่ให้ถืออาวุโสตามพรรษา ซึ่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยอมรับว่าแนวคิดการแก้กฎหมายเกิดจากการพูดคุยกับหลวงตาบัว ทว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนั้นไม่สำเร็จ เรื่องจึงเงียบไปอีกครั้ง

แต่แล้วความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ก็ถูกจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเป็นการริเริ่มจากสมาชิกสภานิติ บัญญัติ (สนช.) กว่า 30 คน สาระสำคัญคือการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจากความอาวุโสตามพรรษา มิใช่ตามสมณศักดิ์ ซึ่งก็ไม่สำเร็จอีกตามเคย

หากการแก้ไขกฎหมายครั้งนั้นสำเร็จและสมเด็จพระญาณสังวรเกิดสิ้นพระชนม์ในคราวนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโน) พระสายมหานิกาย ซึ่งมีสมณศักดิ์สูงสุดในขณะนั้นก็จะพลาดตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และเช่นกันหากกฎหมายแก้ไขสำเร็จ ว่าที่ผู้ที่จะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ตามความอาวุโสของสมณะศักดิ์ก็จะมิใช่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) พระสายมหานิกาย เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ


แต่จะเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) พระสายธรรมยุติ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เนื่องจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) มีอาวุโสทางพรรษามากกว่าคือ 76 พรรษา ขณะที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) มีอายุพรรษาเพียง 68 พรรษา

เพราะฉะนั้นแล้วทางกลุ่มของลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวก็มีหนังสือไปถึงพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี