เจาะเกาะติดมาตรการรับซื้อยางพารา!! เหตุใดชาวสวนยางถึงเมินมาตรการรับซื้อ 1 แสนตันของรัฐบาล!?

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th

 


ผ่านมาแล้ว 3 วัน กับ มาตรการรับซื้อยางพาราจากชาวสวนจำนวน 1 แสนตัน ปรากฏว่ามีเกษตกรนำยางพารามาขายให้กับรัฐบาลในจำนวนที่น้อยมาก เนื่องจากติดขัดปัญหาหลายประการดังนี้

 

 

 


พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเข้ารับซื้อยางพาราตามนโยบายรัฐบาลว่า ตามที่กระทรวงเกษตรฯ โดยการยางแห่งประเทศไทย ได้เริ่มดำเนินการเปิดจุดรับซื้อยาง จำนวน 834 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา


ตามโครงการส่งเสริมการใช้งานในหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ประกอบด้วย ยางแผ่นดิบชั้นสาม 45 บาท/กก. ยางก้อนถ้วย 42 บาท/กก. น้ำยางดิบ 41 บาท/กก. จากผลการดำเนินการขณะนี้ พบว่า มีการรับซื้อยางแล้ว จำนวน 141.63 ตัน จากเกษตรกร จำนวน 1,429 ราย แบ่งเป็น ยางแผ่นดิบ จำนวน 84.27 ตัน น้ำยางสด จำนวน 10.80 ตัน ยางก้อนถ้วย จำนวน 47.29 ตัน


สำหรับเหตุผลที่เกษตรกรยังเข้าร่วมโครงการน้อย เช่น ราคายางในท้องถิ่นปรับตัวสูงขึ้น อยู่ที่ประมาณ 42 บาท/กก. (ยางแผ่นดิบชั้นสาม) บางพื้นที่ปิดกรีดยางแล้ว เกษตรกรมีความกังวลในเรื่องคุณภาพของยางว่าจะไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่โครงการกำหนด แต่ก็ยังมีความต้องการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร บางพื้นที่อากาศแปรปรวนฝนตก การรับเงินผ่าน ธ.ก.ส. ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 วัน


อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการและเน้นย้ำทุกขั้นตอนให้เกิดความโปร่งใส ประโยชน์เกิดกับเกษตรกรอย่างเต็มที่ หากเปิดช่องที่มีโอกาสทุจริต เชื่อมั่นว่าเกษตรกรจะเสียประโยชน์จากการสวมสิทธิ ผลที่ตามมาเกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบต่อไป ขอให้เชื่อมั่น ทั้งนี้ หากพบเห็นทุจริตขอให้แจ้งมายังกระทรวงเกษตรฯ จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง


ทั้งนี้ การยางแห่งประเทศไทยได้ตั้งศูนย์ประสานงานจุดรับซื้อยางโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเตรียมสถานที่รับซื้อ และจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติ หน้าที่รับซื้อยางให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย คือเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. เท่านั้น และ ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการใช้ชาวสวนยางเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ พร้อมทั้งรายงานผลการ ดำเนินงานต่อคณะกรรมการบริหารโครงการ และส่งมอบยางให้ผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษายาง ณ การยาง แห่งประเทศไทย เบอร์โทร 02-433-3674 , 02-433-2222 และเบอร์โทรสาร 02-4243683


เพราะฉะนั้นที่ประชุม ครม.จึงไม่มีการอนุมัติงบประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อยางพารา เนื่องจากขณะนี้ได้ให้ใช้งบของการยางแห่งประเทศไทย 500 ล้านบาทไปก่อน หากไม่เพียงพอจึงค่อยมาขออนุมัติเพิ่ม จากที่ ครม.ให้กรอบไป 5,100 ล้านบาท


ทั้งนี้มีการสรุปว่าการที่เกษตรกรนำยางพารามาขายให้รัฐบาลน้อยกว่าที่คาดการณ์นั้นเป็นเพราะว่า

1.รัฐบาลรับซื้อในปริมาณจำกัดแค่ 150 กิโลกรัมเท่านั้น

2.ชาวสวนไม่ได้รับเงินทันที เนื่องจากต้องนำเงินมาหมุนวันต่อวัน

3.บางจุดรับซื้ออยู่ไกล ไม่สะดวกเดินทาง

4.จุดรับซื้อบางจุดมีความพร้อมรับซื้อเฉพาะยางแผ่นดิบเท่านั้น

5.เกษตรกรจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน

6.เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลปิดหน้ายางแล้ว


ทั้งนี้ขั้นตอนการปฏิบัติในการรับซื้อยางพารา ได้แก่

1.เกษตรกรนำน้ำยาง ก้อนถ้วย ยางแผ่นดิบ มาที่จุดรวมยาง

2.แสดงบัตรขึ้นทะเบียน กยท. และบัตรประชาชน เพื่อลงทะเบียน

3.ส่งมอบยางให้เจ้าหน้าที่เพื่อตรวจคุณภาพและชั่งน้ำหนัก

4.เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (ปริมาณ ประเภทยาง จำนวนเงิน) และออกเอกสารเป็นหลักฐานให้เกษตรกร 1 ฉบับ

5.เจ้าหน้าที่ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ในการรับซื้อแต่ละวันให้แก่ ธ.ก.ส.

6.ธ.ก.ส. จ่ายเงินเข้าบัญชีเกษตรกรภายใน 2 วัน

7.จากจุดรวมยางไปยังผู้ประกอบการ บันทึกข้อมูลลงระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ทั้งปริมาณยาง ประเภทของยาง และสถานที่รับปลายทาง

8.ข้อมูลการปฏิบัติจะจัดทำ Application ให้ทุกคน Download ได้ตลอดเวลา เพื่อร่วมกันติดตามโครงการและสร้างความโปร่งใส


อีกด้านหนึ่งที่เกษตรกรไม่นำยางมาขายให้รัฐบาล น่าจะเป็นผลมาจากการตั้งราคายางพาราทั้ง 3 ชนิดของรัฐบาลทำให้ราคายางพาราในตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน


ทำให้เกษตรกรเลือกที่จะขายยางพาราให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อถึงหน้าสวน หรือจุดรับซื้อหมู่บ้าน เพื่อประหยัดต้นทุนในการเดินทางและสามารถรับเงินสดได้ทันที


ทั้งนี้รัฐบาลได้กำหนดรับซื้อยางพารา 3 ประเภทดังนี้

1.ยางแผ่นดิบคุณภาพ 45 บาท/กก.
2.น้ำยางสด 42 บาท/กก.
3.ยางก้อนถ้วย 41 บาท/กก.


และถ้าหากว่านับย้อนหลังไปประมาณ 10 วันหรือนับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคมเป็นต้นมาราคายางพาราทั้ง 3 ชนิดก็มีการปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


ยางพาราแผ่นดิบ
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ราคา 38.27 บาทต่อกิโลกรัม 
วันที่ 25 มกราคม ขึ้นไปอยู่ที่ 40.42 บาท ล่าสุดในวันที่ 27 มกราคม อยู่ที่ 38.65 บาท


น้ำยางสด
เมื่อวันที่ 15 มกราคม ราคา 34 บาทต่อกิโลกรัม 
วันที่ 25 มกราคม ขึ้นไปอยู่ที่ 39 บาท ล่าสุดในวันที่ 27 มกราคม อยู่ที่ 38 บาท


นายวิชิต สมรฤทธิ์ เกษตรกรสวนยางพารา ประธานเครือข่ายยางพารา ภาคอีสาน เปิดเผยว่า โครงการเปิดรับซื้อยางพาราของรัฐบาล เพื่อแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำยังเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น


เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สนใจ พากันไปขายกับเอกชน เพราะได้เงินสดมาหมุนเวียน ถึงจะถูกกดราคา หรือถูกกว่า แต่ยังมีเงินมาหมุนเวียนแก้ไขปัญหา ใช้จ่ายในครัวเรือน โดยรัฐบาลซื้อยางก้อนถ้วย แห้ง 100 เปอร์เซ็นต์ ประมาณกิโลกรัมละ 41 บาท แต่ซื้อจำกัด ในส่วนของเอกชนซื้อประมาณ กิโลกรัมละ 20 บาท แต่รับเงินสด และไม่จำกัด
        

ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือ ให้สามารถช่วยเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยาก และเร่งหาแนวทางในการแปรรูปยางพาราไว้ใช้ในประเทศให้มากที่สุด


และทั้งหมดนี้ก็คือสถานการณ์ล่าสุดของมาตรการรับซื้อยางพาราจากเกษตรกรจำนวน 1 แสนตัน ซึ่งผ่านไปแล้วกว่า 3 วันสามารถรับซื้อได้แค่เพียง 141 ตันเท่านั้น


อย่างไรก็ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้มีการอนุติมาตรการช่วยเหลือชาวสวน และการแก้ไขปัญหายางพาราออกมาต่อเนื่องโดยเฉพาะเรื่องของการส่งเสริมการแปรรูปมาใช้ในประเทศ


เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ครม.เห็นชอบโครงการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยาง วงเงินสินเชื่อ 1.5 หมื่นล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรฯเสนอ โดยให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการขยายกำลังการผลิต ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ณ ที่ตั้งเดิม หรือที่ตั้งใหม่ ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อนำยางไปแปรรูปในอุตสาหกรรมขั้นปลายน้ำ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2559-2569


โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการ 3% ตลอดอายุโครงการ(รวม 10 ปี) คิดเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ยรวม 4,500 ล้านบาท โดยเป้าหมายในการผลิตยางพารามุ่งไปที่ผลิตภัณฑ์ยางที่แปรรูปให้มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ถุงมือยาง ยางยืด ยางล้อ ยางที่ใช้ในงานวิศวกรรม เป็นต้น ทั้งนี้มี 7 ธนาคารเข้าร่วมปล่อยสินเชื่อ ได้แก่ ออมสิน, กรุงไทย, กรุงเทพ, ทหารไทย, ไทยพาณิชย์, ซีไอเอ็มบี และกสิกรไทย      


สำหรับวิธีดำเนินการให้กยท.และกระทรวงเกษตรฯร่วมกันตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ยางพารา และปริมาณการใช้ยางพาราต่อโครงการ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราในประเทศมากขึ้นอย่างน้อย 4 ตันต่อปีต่อวงเงินกู้ 1 ล้านบาท จึงจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ย 3% คาดว่าเมื่อขอสินเชื่อครบ 1.5 หมื่นล้านตามที่ ครม.อนุมัติจะทำให้เพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศได้ 6 หมื่นตันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าการแปรรูปยางขั้นต้นได้ 3,600 ล้านบาทต่อปี


ส่วนหากนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางจะได้มูลค่าประมาณ 7,200 ล้านบาทต่อปี