- 28 มี.ค. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
จากเรื่องราวภายในครอบครัวแดงสุภาที่ผูกพันกันมานานหลายสิบปี จนมาถึงจุดแตกหัก กลายเป็นปมลึกปมลับว่าเหตุผลอะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ผลประโยชน์ในเรื่องหุ้นและสิ่งที่คนใกล้ตัวออกมาเปรียบเปรยว่ามีคนในครอบครัวพยายามจะขายแผงค้าซึ่งทำกำไรให้ครอบครัวมาโดยตลอดเกี่ยวข้องกันอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องติดตามความจริงกันต่อไป
ยังคงเป็นกระแสทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์ สำหรับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับครอบครัว “แดงสุภา” เจ้าของกิจการธุรกิจน้ำพริกเผา “แม่ประนอม” อันลือชื่อ ซึ่งวันนี้กำลังเป็นโจษขานว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างแม่และลูก ที่หลายคนสงสัยว่าทำไมสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงขาดสะบั้นลงอย่างสิ้นเชิง
ขณะเดียวกันเพื่อความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นข้อขัดแย้งนี้ เราจะไปค่อย ๆ ไล่เลียงแต่ละจุดข้อมูลที่มีการเสนอจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันถอดรหัสปมร้าวภายในครอบครัว “แดงสุภา” ว่ามีข้อเท็จจริงในเชิงลึกมากกว่าที่เป็นเรื่องราวผ่านสาธารณะหรือไม่ อย่างไร เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย
เริ่มจากรายละเอียดในหนังสือของนางประนอม แดงสุภา ผู้ก่อตั้งธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงภายใต้เครื่องหมายการค้า “แม่ประนอม” ที่นำเสนอต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ระบุว่าธุรกิจน้ำพริกเผาที่โด่งดังทั่วประเทศ มีการจดทะเบียนผู้ทำการค้าในชื่อ “ ห้างหุ้นส่วนจำกัด อุตสาหกรรมพิบูลย์ชัย” เมื่อปี 2502 โดยมีชื่อนายศิริชัย และ นางประนอม แดงสุภา เป็นผู้ร่วมประกอบกิจการ และมีสำนักงานพร้อมโรงงาน ตั้งอยู่เลขที่ 113/1-2 หมู่บ้านเศรษฐกิจ เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร แต่มีสินค้าหลักที่จัดจำหน่ายเพียงชนิดเดียวในช่วงแรก คือ น้ำพริกเผาไทยบรรจุขวดแก้ว
ต่อมาในปี 2524 เมื่อธุรกิจน้ำพริกเผาภายใต้เครื่องหมาย “แม่ประนอม” มีการเติบโตในเชิงธุรกิจ ทั้งนายศิริชัย ผู้เป็นสามี และนางประนอม จึงตัดสินใจจดทะเบียนกิจการน้ำพริกเผาแม่ประนอมในรูปของบริษัทจำกัด และเพิ่มชื่อกิจการให้เกิดความจดจำมากยิ่งขึ้น ในนาม “บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด” เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2524 พร้อมขยับขยายกิจการจากย่านหมู่บ้านเศรษฐกิจ เขตหนองแขม มาตั้งอยู่เลขที่ 68/10 ถ.บรมราชชนนี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร และด้วยขนาดเนื้อที่ที่กว้างขวางมากขึ้นเป็น 27 ไร่ในปี 2537 พร้อมเครื่องจักรสำหรับการผลิตที่ทันสมัยนำเข้าจากประเทศเยอรมันนี
จากกิจการน้ำพริกเผาที่เป็นธุรกิจเล็ก ๆ บนพื้นที่เล็ก ๆ ในหมู่บ้านเศรษฐกิจ ในระยะเวลา 20 ปีเศษ ธุรกิจน้ำพริกเผาภายใต้ชื่อ “แม่ประนอม” ถูกยกระดับมาตรฐานการผลิตเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบ และโอนถ่ายความรับผิดชอบกิจการจากพ่อแม่สู่รุ่นลูกในปี 2544
โดยจากข้อมูลในหนังสือที่นางประนอมใช้เป็นเอกสารอ้างอิง ระบุว่า ในปี 2544 บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด” มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 59 ล้านบาท และมีการจัดสรรหุ้นเป็นจำนวน 59,000 หุ้น แยกสัดส่วนการถือครองหุ้นเป็นดังนี้
1.นายศิริชัย แดงสุภา จำนวน 20,000 หุ้น
2.นางประนอม แดงสุภา จำนวน 18,200 หุ้น
3.นางศิริพร แดงสุภา จำนวน 20,000 หุ้น
4.นางสาวศิริวัลย์ แดงสุภา จำนวน 350 หุ้น
5.บุคคลอื่น (ไม่แจ้งรายละเอียด) จำนวน 450 หุ้น
ที่สำคัญในหนังสือฉบับดังกล่าวระบุด้วยว่า ทั้งนายศิริชัยและนางประนอม รักและไว้วางใจนางศิริพรบุตรสาวคนโต จึงมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัทและบริหารงานต่างๆ แทนครอบครัวมาโดยตลอด จนกระทั่งพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ภายหลังที่มีการเข้าไปดำเนินการเรื่องมรดกของนายศิริชัย ที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2556 และนำไปสู่การกล่าวหาว่านางศิริพร คือ ผู้อยู่เบื้องหลังการดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้น โดยการปลอมหนังสือมอบอำนาจและการหลอกให้เซ็นเอกสาร ที่ทำให้ขั้นตอนการโอนหุ้นเป็นไปโดยสมบูรณ์ และบานปลายเป็นการฟ้องร้องต่อศาลแขวงตลิ่งชัน ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดีในวันที่ 11 เม.ย. 2559 และ ศาลจังหวัดนครปฐม กรณีการปลอมแปลงเอกสารที่ศาลนัดพิจารณาคดีในวันที่ 4 เม.ย. 2559
ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดโดยย่อที่สนข.ทีนิวส์นำเสนอไปก่อนหน้านี้ จากข้อมูลของนางประนอม แดงสุภา ที่วันนี้กำลังได้รับความเห็นใจจากกระแสสังคมอย่างกว้างขวาง และยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมีการเปิดเผยว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงจริงก็ยิ่งทำให้ประเด็นข้อพิพาทนี้กลายเป็นที่จับตามองยิ่งขึ้น ในประเด็นที่ลูกสาวกระทำกับแม่ผู้บังเกิดเกล้า
โดยข้อมูลที่ปรากฏจาก บริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท พิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 59 ล้านบาท และจำนวนหุ้น 59,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท มีชื่อ นางศิริพร แดงสุภา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ นาง อุรชา พีชาสารานนท์ และ น.ส. ธนาภรณ์ ภาษาประเทศ ร่วมเป็นกรรมการ
ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 19 ต.ค. 2558 ประกอบด้วย
1.นาง ศิริพร แดงสุภา จำนวน 28,000 หุ้น
2.นางสาว ธนาภรณ์ ภาษาประเทศ จำนวน 10,000 หุ้น
3.นางสาว สุรพร ภาษาประเทศ จำนวน 10,000 หุ้น
4.นางสาว อุรชา พีชาสารานนท์ จำนวน 10,000 หุ้น
5.นาย สุชาติ ภาษาประเทศ จำนวน 1,000 หุ้น
ขณะที่งบแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2557 แจ้งว่า มีรายได้จากการประกอบกิจการดังนี้
1.การขายสินค้า 802,734,975.11 บาท
2.รายได้อื่น 607,714.07 บาท
รวมรายได้ 803,342,689.18 บาท
รวมรายจ่าย 772,673,284.76 บาท
คิดเป็นยอดกำไรสุทธิ 24,502,917.29 บาท
จากข้อมูลที่ปรากฏจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และการกล่าวอ้างของนางประนอม แดงสุภา ในประเด็นโครงสร้างผู้ถือหุ้น ชัดเจนว่ามีนัยบ่งชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่เบื้องลึกเบื้องหลังมีข้อเท็จจริงอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา
เนื่องจากเป็นที่รับรู้ว่าก่อนหน้านี้มีข้อพิสูจน์ที่บ่งชี้ได้ว่าระหว่างนางประนอมในฐานะผู้เป็นแม่และนางศิริพรรวมถึงบุคคลในครอบครัว “แดงสุภา” มีความสัมพันธ์ที่ดีมาโดยตลอด และนางศิริพรคือหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการช่วยเหลือกิจการ บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด เช่นภาพที่ปรากฏในรายการคัมภีร์วิถีรวยเมื่อปี 2557 และเป็นช่วงที่ถูกระบุว่าตรวจพบการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นภายใน บริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นปรากฏข้อมูลที่ตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า นางศิริพร ลูกสาวคนโตที่วันนี้ต้องกลายเป็นคู่พิพาทกับแม่ผู้บังเกิดเกล้า เคยให้สัมภาษณ์ในช่วงปี 2552 ว่า ก่อนที่จะเข้ามารับงานเป็นผู้บริหารบริษัทพิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จำกัด ช่วงสมัยวัยเด็กได้ช่วยเหลือกิจการครอบครัวมาโดยตลอด โดยเฉพาะจำได้ว่าในช่วงหลังเลิกเรียนก็ต้องกลับมาช่วยแม่บรรจุน้ำพริกใส่ขวดตอนกลางคืน เพื่อนำสินค้าซึ่งเป็นน้ำพริกเผาขึ้นรถในตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน
เนื่องจากระยะแรกมีลูกจ้างเพียงไม่กี่คนช่วยกันทำน้ำพริกที่เตรียมไว้ จากนั้นแม่ประนอมก็จะนำน้ำพริกใส่ตระกร้าไปขายบ้าง ฝากตามร้านค้าต่างๆ ที่รู้จักกันขายบ้าง โดยในระยะแรกนั้น จะยังไม่มีการเก็บเงินจากทางร้านค้า หากขายได้ถึงจะหักเงินเป็นค่าสินค้าที่ฝากขาย ทำให้มีความผูกพันระหว่างร้านค้าบางแห่งก็ยังจำได้ และเป็นลูกค้าเก่าแก่มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ในระยะเริ่มแรกที่กิจการเริ่มขยายตัว นายศิริชัยผู้เป็นพ่อยังได้ลงทุนออกรถตู้คันหนึ่ง เพื่อสำหรับใช้ขนส่งน้ำพริกให้กับลูกค้าต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งนางศิริพรในฐานะลูกคนโตก็มีโอกาสติดตามพ่อแม่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปส่งสินค้าหลายจังหวัด จนผ่านมากว่า 40 ปี น้ำพริกเผาตราแม่ประนอมได้กลายเป็นสินค้าส่งออกเฉพาะตลาดในประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซียมากถึงเดือนละหลายสิบตู้คอนเทนเนอร์ มีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิหลายสิบล้านบาทต่อปี ซึ่งนางศิริพรแสดงเจตนารมณ์ว่าจะยึดมั่นธุรกิจนี้ต่อไปด้วยการไม่ขยายไลน์ธุรกิจครอบครัวไปทำกิจการอื่น รวมถึงแนวทางการทำธุรกิจแบบพอเพียงด้วยทุนทรัพย์ที่มีเท่านั้น
นอกจากนี้ ครั้งหนึ่ง คนในครอบครัว เล่าให้ฟังว่า เมื่อพ่อแม่แก่ตัวลงลูกๆ ก็เข้ามาดูแลพวกลูกจ้างโขลกน้ำพริกเอง ลูกคนโตเก่งกว่าสักหน่อยเพราะดูแลงานมาตั้งแต่แม่เริ่มจ้างคนมาช่วย และไม่อยากจะทำน้ำพริกของแม่อย่างเดียว ก็ไปทำธุรกิจปลูกทาวเฮาส์ขายของตัวเองกับสามี แต่ก็ยังดูแลคนงานที่จ้างมาโขลกน้ำพริกขายน้ำพริกแทนแม่ที่ตลาดมาหลายสิบปีให้ยังมีงานทำน้ำพริกต่อไปไม่ต้องตกงาน
แต่ลูกคนน้องกลับคิดว่าน้ำพริกแม่ติดตลาดแล้ว จะเซ้งแผงของแม่ที่ตลาดพร้อมยี่ห้อน้ำพริกไปน่าจะได้เงินเป็นก้อนดี เพราะเงินที่ได้มาต่อปีก็มากอยู่ เลยไปถามแม่ว่าจะเอาไหม แม่ก็เห็นด้วยว่าได้เงินก้อนก็ดีเพราะแม่ก็ไม่ได้ทำน้ำพริกนานแล้ว อายุแม่ก็ไม่น้อย มีร้านน้ำพริกหรือไม่มีร้านก็เดือดร้อนอะไร แม่กับน้องก็เลยตกลงกันว่าจะขายแผงในตลาดเอาเงินก้อนมาใช้ดีกว่า
ลูกสาวคนโตก็เลยไม่ยอม บอกกับแม่ว่า พ่อสั่งเสียเอาไว้ว่าให้หนูดูแลเรื่องขายน้ำพริกก่อนตาย เซ็นต์ชื่อโอนแผงให้หนูดูแล ให้เก็บแผงขายน้ำพริกในตลาดให้ถึงรุ่นหลาน เพราะเซ้งแผงไปแล้วคนงานที่จ้างมานานก็ต้องเลิกจ้าง แล้วคนพวกนี้จะเอาอะไรกิน คนงานก็มีลูกเต้าต้องส่งเสียเรียนหนังสือไม่ต่างกับแม่ตอนนั้นเหมือนกัน อย่างน้อยพวกหลานๆ ของแม่ในรุ่นต่อไปถ้าไม่รู้จะทำอะไรก็ยังขายน้ำพริกของยายทำมาหากินในตลาดได้ และอีกอย่างคือคนที่ดูแลแผงขายน้ำพริกกับคนงานตำน้ำพริกคือหนูเองกับพ่อ ขออนุญาตกับทาง อย.ก็หนูเองเป็นคนไปขอกับทางอำเภอตอนทำน้ำพริกกระป๋องขายงานโอท็อปกับพ่อ ไม่ใช่แม่กับน้องที่อยู่เฉยๆ แต่กินเงินกำไรจากแผงลอยในตลาดมาเป็นสิบปีแล้ว
น้องก็ไม่ยอมเพราะอยากได้เงินก้อนเลยบอกแม่ว่าอย่างนี้ไปฟ้องสมภารวัดข้างบ้านเลยดีกว่า เอามันกลางศาลางานบุญวันพระนี่แหละคนเยอะดี น้องเลยดันหลังแม่ไปนั่งร้องไห้ให้สมภารฟัง คราวนี้คนทั้งศาลาเลยด่าลูกคนโตว่ามันช่างชั่วช้าเลวทรามเสียนี่กระไร โกงได้แม้กระทั่งแม่ แต่ลูกคนโตก็เงียบอยู่เพราะถ้าขืนออกมาพูดว่าอะไรเป็นอะไรก็เท่ากับด่าแม่ตัวเองทางอ้อมให้ชาวบ้านฟังว่าตอแหล เลยต้องยอมทนก้มหน้าให้ชาวบ้านด่าต่อไป
จากเรื่องราวภายในครอบครัวแดงสุภาที่ผูกพันกันมานานหลายสิบปี จนมาถึงจุดแตกหัก กลายเป็นปมลึกปมลับว่าเหตุผลอะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ผลประโยชน์ในเรื่องหุ้นและสิ่งที่คนใกล้ตัวออกมาเปรียบเปรยว่ามีคนในครอบครัวพยายามจะขายแผงค้าซึ่งทำกำไรให้ครอบครัวมาโดยตลอดเกี่ยวข้องกันอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องติดตามความจริงกันต่อไป






