- 05 มิ.ย. 2559
ติดตามรายละเอียด www.tnews.co.th
ถือเป็นยุทธวิธีทางการเมืองที่เลือกแล้ว สำหรับเครือข่ายระบอบทักษิณกับการเดินหน้าสู่เป้าหมายกระบวนการล้มอำนาจคสช.ให้เสร็จสิ้นก่อนจะลากยาวไปถึงปี 2560 โดยเฉพาะการจัดตั้ง "ศูนย์ปราบโกงประชามติ" ซึ่ง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.อ้างว่าไม่มีเป้าหมายล้มคสช. แต่โดยสาระสำคัญจากถ้อยคำและวิธีการก็ชัดเจนว่า "ศูนย์ปราบโกงประชามติ" คือการปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ออกมาทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันอีกครั้ง โดยมีผู้ใกล้ชิด ทักษิณ ชินวัตร อย่าง ยงยุทธ ติยะไพรัช มาร่วมเป็นสักขีพยาน !!!
“การตั้งศูนย์ปราบโกงครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อล้ม คสช. เมื่อไหร่ที่ นปช.ต้องการล้ม คสช.จะแจ้งให้ทราบก่อนอย่างแน่นอน การลงประชามติครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของประชาชน ไม่ใช่เรื่องของสีใด สีหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ ภารกิจแรกของศูนย์ปราบโกงคือภายในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ จะมีการนัดหมายเพื่อเปิดศูนย์ทั่วประเทศ”
ขณะที่ภายใต้การแนวทางการฟื้นนปช.ระดับจังหวัดให้กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง ก็คือสูตรการเคลื่อนไหวที่ ธิดา ถาวรเศรษฐ และเครือข่ายแดง เคยดำเนินการในรูปโรงเรียนนปช.ตั้งแต่ปี 2552 และทำให้มวลชนคนเสื้อแดงมีฐานมวลชนในระดับสำคัญ สำหรับการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชีวะ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นในปี 2553 หลังจากล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับเหตุการณ์ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลในปี 2552 พร้อม ๆ กับการก่อเกิดของกองกำลังติดอาวุธ ในเหตุการณ์สี่แยกคอกวัว 10 เม.ย. 2553
และแม้ว่า จตุพร พรหมพันธุ์ จะปฏิเสธว่า "ศูนย์ปราบโกงประชามติ" ไม่มีเป้าหมายล้มคสช. แต่โดยนัยยะของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีจุดเป้าหมายชัดเจนของการนำไปสู่การเอาชนะทางการเมืองกับคสช.โดยใช้ผลการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรธน.เป็นเดิมพัน
“การลงประชามติครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของประชาชน ไม่ใช่เรื่องของสีใด สีหนึ่ง หรือพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง แต่ เป็นเรื่องของฝ่ายประชาธิปไตยกับเผด็จการ..”
เช่นเดียวกับ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่ระบุชัดเจนว่า “ขอให้ไปประชาชนใช้สิทธิให้มาก ถ้าใครพอใจกับความสุขในปัจจุบันขอให้ลงมติรับรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าท่านมีความอึดอัด คับข้องใจ เดือดร้อน และไม่มีใครแก้ปัญหาให้ท่านได้ก็ขอให้ไม่รับรัฐธรรมนูญ ”
ประเด็นที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปก็คือ เป้าหมายของการรณรงค์คว่ำรธน.โดยฟื้นพลังเครือข่ายคนเสื้อแดงทั่วประเทศกลับคืนมานี้ ทางเครือข่ายระบอบทักษิณมีนัยสำคัญอะไรมากกว่าการแสดงเห็นพลังการต่อต้านอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเข้ายึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถ้าย้อนกลับไปดูแนวคิดของต้นแบบอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ในการพูดผ่านยูทูบเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2558 ข้อความตอนหนึ่งระบุว่า “ บ้านเมืองตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ทั้งที่ความจริงบ้านเมืองเราพัฒนาไปเยอะแล้ว แต่สิบกว่าปีมานี้ถือว่าถอยหลัง เพราะผู้มีอำนาจกำลังนำประเทศไทยกลับเข้าสู่อดีต ดังนั้นหากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาถือว่าเลวร้ายที่สุดแล้วกัน เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ จึงอยากบอกให้พี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย ยึดมั่นในหลักการ อะไรที่ไม่เข้าตามหลักการนี้ ไม่เอา !!! ”
อีกหนึ่งตัวละครที่ทำให้ภาพเป้าหมายการคว่ำร่างรธน.ชัดเจนยิ่งขึ้นในวัตถุประสงค์การณรงค์เคลื่อนไหว ก็คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดยการพูดไว้เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2559 “นัยของการโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกินความกว้างไปถึงการไม่ยอมรับกระบวนการอำนาจของ คสช. ดังนั้น 1 ปีจากประชามติ กรกฎาคม 59 ถึงเลือกตั้งกรกฎาคม 60 จึงมากด้วยแรงเสียดทานระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชน สิ่งที่ควรจะเป็นคือ เร่งคืนอำนาจให้ประชาชน ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 40 ให้มีการเลือกตั้งภายในปี 59 โดยมีบทเฉพาะกาลให้รัฐสภาของประชาชนจัดการเลือกตั้ง สสร. แล้วจัดทำรัฐธรรมนูญพร้อมลงประชามติให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แบบนี้ถึงจะเดินไปข้างหน้าได้”
ถัดมาในวันที่ 30 มี.ค. 2559 พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์อีกหนึ่งฉบับ แสดงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นร่างฯ ที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยหลายส่วน และยังจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสร้างปัญหาให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น เพราะประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการร่าง, เนื้อหาเป็นไปตามความต้องการของ คสช. เป็นหลักมากกว่าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ดังนั้น พรรคเพื่อไทย จึงขอเสนอแนะต่อประชาชน ให้ร่วมกันออกมาลงประชามติ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ก่อนการลงประชามติ โดยให้แก้ไขอย่างชัดเจนว่า “หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ให้นำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาปรับแก้และประกาศใช้เป็นการชั่วคราว”
พร้อมกับ “จัดให้มีการเลือกตั้งภายในไม่เกิน 6 เดือน” เพื่อให้การบริหารประเทศไม่สะดุด และให้รัฐบาลจัดให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยทั้งในส่วนของเนื้อหาและกระบวนการได้มา !!
ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดก็เพียงพอชี้ให้เห็นแล้วว่าการเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติของนปช. ไม่ได้เป็นการเปิดมาเพียงเพื่อคุมสถานการณ์การลงประชามติไม่ให้มีอำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซงเท่านั้น แต่ศูนย์ปราบโกงประชามติเป็นบันไดขั้นที่สองของการเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจคสช.ต่อเนื่องภายหลังวันลงประชามติ 7 ส.ค. 2559 โดยเฉพาะกรณีหากผลคะแนนเสียงไม่รับร่างรธน.เป็นไปตามที่เครือข่ายทักษิณคาดหวัง การผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งโดยเร็วภายในปี 2559 จะยิ่งชัดเจนมากขึ้น ??