"วรงค์"จวกพท.แถลงป้อง"ปู"คดีโกงข้าว สะท้อนชัดไร้สำนึก-ไม่ยอมรับผิด-บิดเบือน-โทษคนอื่น

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 26 ก.ย.)   นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์  ได้โพสต์ข้อความลงในเฟชบุ๊ก " Warong Dechgitvigrom "  โดยแสดงความเห็นถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย  ออกแถลงการณ์ ขอให้ทบทวนกระบวนการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และยกเลิกการใช้มาตรา 44 โดยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ  โดยข้อความที่โพสต์ระบุว่า


" สิ่งที่พรรคเพื่อไทยพยายามออกแถลงการณ์ต่างๆ  ในช่วงนี้ ล้วนเป็นการสะท้อนถึงการไม่ยอมรับผิด และไม่ยอมรับข้อเท็จจริง  สังคมต้องไม่ปล่อยให้เขาสร้างกระแสบิดเบือนจนประชาชนเชื่อ

ประการแรก พรรคเพื่อไทยพยายามโยงว่าคดีอาญาในศาลฎีกายังไม่ตัดสิน ทำไมเร่งรีบ ไม่ปล่อยให้เป็นกระบวนการของกฎหมายปกติ ซึ่งตนถามว่า พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เป็นกระบวนการของกฎหมายปกติหรือไม่ เพราะ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็เป็นกฎหมายปกติที่มีขั้นตอน ที่สำคัญแค่มีการลงนามคำสั่งทางปกครองหรือเตือน ก็ไม่ใช่ว่าจะไปยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แล้วจบกัน เพราะเมื่อเขาอุทธรณ์ร้องศาลปกครอง ก็ต้องสู้กันอีกสองศาล กว่าจะจบยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะจบเมื่อไร และผลจะเป็นอย่างไร ไม่ได้รวดเร็ว รวบรัดตามที่พรรคเพื่อไทยอ้าง เรื่องจึงเป็นเพียงแค่เริ่มต้นเพื่อเข้าสู่กระบวนการศาลเท่านั้น

ประการที่สอง พรรคเพื่อไทยอ้างว่า ถือเป็นครั้งแรกของประเทศที่นำเรื่องกำไรขาดทุนเรียกค่าเสียหายจากผู้นำรัฐบาล ก็ต้องบอกว่าการดำเนินนโยบายครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้มีการทุจริตครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ หลายฝ่ายเตือนแล้วก็ไม่สนใจ เพราะเหลิงในอำนาจ ผมเชื่อว่ารัฐบาลใดๆ ดำเนินนโยบาย และปล่อยให้เกิดการทุจริตผลประโยชน์ไม่ถึงประชาชน เงินส่วนที่ไม่ถึงมือประชาชนนั้น ถือเป็นความเสียหายที่ต้องรับผิดชอบ

ประการที่สาม พรรคเพื่อไทยอ้างว่า การดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวจะถือเป็นการละเมิดหรือไม่ก็ยังไม่มีความชัดเจน การยึด อายัด ถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิของบุคคล จึงไม่ควรที่จะต้องเร่งรีบ รวบรัด ก็อย่างที่บอกว่าทุกอย่างยังไม่จบหรอก ยังต้องผ่านขั้นตอนศาล กระบวนการเพิ่งจะเริ่มต้นที่ศาลปกครอง อีกนานกว่าจะจบ แต่พรรคเพื่อไทยก็จะบิดเบือนว่าจะยึด อายัด เร่งรีบ รวบรัดอยู่

ประการที่สี่ พรรคเพื่อไทยก็กล่าวหาว่า เร่งรัดเพื่อให้มีการเรียกค่าเสียหายให้จบทันอายุของรัฐบาลนี้ ยิ่งตอกย้ำว่าบิดเบือนในเนื้อหาซ้ำๆ ทั้งที่รู้อยู่ว่าเรื่องต้องไปจบที่ศาลปกครองถึงสองศาล คือศาลปกครองกลาง และสามารถอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ยังไม่จบง่ายๆ   ประการที่ห้า พรรคเพื่อไทยอ้างถึงคำสั่งตามมาตรา 44 ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อให้บรรลุเจตนาของผู้นำเท่านั้น


ก็ยิ่งเป็นการบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ก็รู้อยู่แก่ใจว่า เรื่องทั้งหมดต้องลงเอยที่ศาล และสามารถใช้สิทธิ์ทางศาลได้เต็มที่ มาตรา 44 ไม่ได้มีผลต่อกระบวนการใดๆ ของคดี จึงเท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยพยายามเอามาตรา 44 มาหลอกหากินกับประชาชนที่ไม่เข้าใจ เหมือนที่เคยหลอกหากินกับผู้เสียชีวิตได้ผลมาแล้ว

 

และประการสุดท้าย พรรคเพื่อไทยอ้างถึงอำนาจตามมาตรา 44 ได้ให้อำนาจกรมบังคับคดียึดอายัดทรัพย์บุคคลเป็นการเฉพาะ ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ บิดเบือนซ้ำแล้วซ้ำอีก และหากินกับมาตรา 44 เพราะรู้ทั้งรู้ว่ามาตรานี้ออกมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่แทนกัน และการยึด อายัดทรัพย์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นทันที เพราะต้องจบที่ศาล

เราจึงต้องช่วยกันเรียกร้องพรรคเพื่อไทย ให้เคารพข้อเท็จจริง การจะโต้แย้งหรือกล่าวอ้างใดๆ ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่สร้างบิดเบือนจนเคยชิน ที่สำคัญเมื่อกระทำผิด ต้องมีสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำ ไม่ใช่เอาแต่โทษคนอื่น ให้เหมือนนานาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย ที่กระทำผิดไปแล้ว เขามีสำนึกของความรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตย"