- 01 ธ.ค. 2559
ติดตามข่าวสาร www.tnews.co.th
ถือเป็นข่าวสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมไทยไม่น้อย สำหรับเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย นายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ หรือเจมส์บอนด์ บุตรชาย พล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 จ.น่าน จนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองต้องออกมาส่งสัญญาณให้มีการเร่งดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อย่างจริงจัง
ทั้งนี้สำหรับแนวนโยบายการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยข้อเท็จจริงแล้วรัฐบาลคสช.ถือเป็นนโยบายที่มีการเน้นย้ำกับผู้รับผิดชอบมาโดยตลอด แต่ประเด็นปัญหาก็คือผู้ปฏิบัติส่วนหนึ่งเองก็เคยชินกับการพึ่งพาอาศัยกลุ่มมาเฟียหรือผู้อิทธิพลเหล่านั้น จึงยังคงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะที่เกิดขึ้นกับสถานบันเทิงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
เช่นการให้สัมภาษณ์ของของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2558 โดระบุชัดเจนถึงขนาดว่ามีรายชื่อผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่นแล้ว จากหน่วยงานความมั่นคง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และผู้ว่าราชการจังหวัด ตามกรอบกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้ง 16 กลุ่มส่งมาแล้ว และจะมีการนำมาคัดกรองและดำเนินการเอาผิดตามกฎหมาย ตามโยบายเร่งด้วยของรัฐบาลและคสช. ในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลให้หมดสิ้นจากสังคมไทย โดยไม่เว้นว่าจะเป็นบุคคลในเครื่องแบบหรือไม่อย่างไร
ขณะที่จากการสำรวจตรวจสอบพบว่ากลุ่มอิทธิพลในความหมายของพล.อ.ประวิตรประกอบด้วยกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมดังนี้
1. นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ
2. ฮั้วประมูลงานราชการ
3. หักหัวคิวรถรับจ้าง
4. ขูดรีดผู้ประกอบการ
5. ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี
6. เปิดบ่อนการพนัน
7. ลักลอบค้าประเวณี
8. ลักลอบนำคนเข้า-ออกประเทศโดยผิดกฎหมาย
9. ล่อลวงแรงงานไปยังต่างประเทศ
10. แก๊งต้มตุ๋นนักท่องเที่ยว
11. มือปืนรับจ้าง
12. รับจ้างทวงหนี้ด้วยการข่มขู่ใช้กำลัง
13. ลักลอบค้าอาวุธสงคราม/ปืนเถื่อน
14. บุกรุกที่ดินสาธารณะ/ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
15. เรียกรับผลประโยชน์บนเส้นทางหลวงสาธารณะ
16. ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ออกมาเป็นระยะ ๆ แต่ในแง่ของรูปธรรมก็ยังมีข้อคำถามว่าได้ผลจริงจังมากน้อยแค่ไหน เพราะมีการกำหนดกรอบเวลาภายใน 6 เดือนต้องชัดเจนในผลการปฏิบัติงาน จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายบุตรชาย พล.ต.วิทยา ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 จ.น่าน ประเด็นนี้จึงถูกหยิบยกมาสอบถามอีกครั้ง
สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเริ่มต้นการประกาศนโยบาย ทางด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจ ถึงกับเรียกกำชัยทุกหน่วยกำลังพลให้ปฏิบัติงานการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ตามคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลขที่ 324/2558 ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2558 ด้วยความเข้มข้น เพราะเป็นนโยบายของภาครัฐเพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตปกติสุข ไม่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาข่มเหงรังแก รวมถึงจับกุมตามหมายจับเก่าทั้งหลายใน 16 ฐานความผิด
พร้อมระบุว่าจะเริ่มปฏิบัติการตามแผนดังกล่าวในวันที่ 5 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา พร้อมกันทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยขณะนี้มีรายชื่อผู้มีอิทธิพลประมาณ 6,000 ราย ทั้งบุคคลทั่วไป ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น และข้าราชการทหาร ตำรวจตาม 16 มูลฐานความผิดซึ่งต้องดำเนินการกวาดล้างให้หมดสิ้น
แต่ถึงที่สุดสถานบันเทิงผิดกฎหมายที่อยู่ภายใต้กลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เชียงใหม่ก็ทำให้เห็นได้ประการหนึ่งว่าแนวนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ ในการเร่งรัดปราบปรามผู้มีอิทธิพลยังไปไม่ถึงเป้าหมายครบถ้วน
ขณะที่ข้อมูลจากเครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย ผู้จัดทำเว็บไซต์ www.tpd.in.th ระบุว่า จากการสำรวจพฤติกรรมของนักการเมืองระดับชาติ ในพื้นที่ 18 จังหวัดในประเทศไทย พบว่ามีนักการเมืองที่ทุจริตเชิงนโยบาย 44.26% พบมากสุดในพื้นที่ภาคอีสาน 58.06% ตามด้วยภาคเหนือ 52.94%
ส่วนนักการเมืองที่ซื้อ-ขายตำแหน่งในราชการ 22.95% พบมากที่สุดในภาคอีสาน 38.711% ตามด้วยกรุงเทพมหานคร 28.26% นักการเมืองที่จริยธรรมเสื่อม 15.57% พบมากสุดในกรุงเทพมหานคร 32.57%
ส่วนนักการเมืองที่เป็นเจ้าของหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน 14.75% พบมากสุดในภาคตะวันตก 25.00% ตามด้วย กรุงเทพมหานคร 17.39% และภาคอีสาน 16.13% ขณะที่นักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับหวยเถื่อน 10.66% มากที่สุดในกรุงเทพมหานคร 23.91%
นอกจากนั้นนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด 5.74% พบมากสุดในภาคใต้ 12.5% นักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าของเถื่อน 4.95% พบมากที่สุดในภาคใต้ 18.75% นักการเมืองที่บุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 2.46% พบมากในภาคอีสานและกรุงเทพมหานคร
สำหรับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเงินกู้นอกระบบ 2.46% มากสุดในกรุงเทพมหานคร นอกจากนั้นยังพบว่าในพื้นที่ 18 จังหวัดดังกล่าวนั้นมีนักการเมืองที่มีพฤติกรรมสีเทาถึง 30 คน
ประเด็นสำคัญคือกรณีรายชื่อผู้มีอิทธิพลในแต่ละท้องถิ่นซึ่งอยู่ในมือของผู้รับชอบกว่า 6 พันรายมีการดำเนินการไปถึงระดับใดแล้วกันแน่ และคงไม่ใช่เฉพาะพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ที่ทุกฝ่ายกำลังเร่งรัดดำเนินการในขณะนี้