"นิพิฏฐ์" ระวังถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า มีราคาจริงหรือ? เสียรังวัดพรรค!! "ประชาธิปัตย์"ทำร้ายกันเอง!!??

เป็นเรื่อง “ทอค ออฟ เดอะ ทาวน์” ไปแล้ว สำหรับคำพูดที่ขาดความรับผิดชอบของ ของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนมหกรรมโต๊ะกลมสาธารณะ (ครั้งที่ 2) จัดเสวนา "บ้านเมืองมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร" โดยในภาคบ่ายเป็นการเสวนา เรื่อง ปรองดอง แบบ คสช.เมื่อไรจะเจออุโมงค์ มีผู้ร่วมเสวนา คือ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตัวแทนกลุ่ม นปช.

 

นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า คสช.อ้างความขัดแย้งมาเป็นสาเหตุของการยึดอำนาจ จึงควรเร่งสร้างความปรองดองตั้งแต่วินาทีแรก แต่ คสช.กลับมาทำในช่วงสุดท้าย ทำให้สังคมไทยอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่เห็นแสงสว่าง และเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะหวังให้คสช.เป็นผู้นำทางไปสู่แสงสว่าง สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด แต่รัฐบาลกลับพยายามอยู่ให้นานที่สุด โดยไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์แต่กลับเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์อยู่ และเปลี่ยนสภาพจากกรรมการมาไล่นักมวยลงจากเวทีแล้วเอาถ้วยรางวัลมาเป็นของตัวเอง ทำให้ความปรองดองเกิดขึ้นยาก

"อีกทั้งเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญก็ไม่เอื้อต่อความปรองดอง เพราะไม่สามารถตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ หาก ส.ว.250 คนไม่เอาด้วย เมื่อตั้งรัฐบาลไม่ได้ คสช.ก็อาจใช้เป็นเหตุผลอยู่ต่อ จึงอาจเกิดสภาพที่นักมวยหันมาจับมือกันไล่ถลุงกรรมการ เพื่อเปลี่ยนกติกาที่ไม่เป็นธรรม และเอาระบบที่ไม่พึงปรารถนาออกไป เซ็ตซีโร่ระบบคสช. ด้วยการที่พรรคการเมืองทุกพรรคจับมือกันตั้งรัฐบาล แทนที่จะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง แม้ว่าโอกาสจะน้อยก็ตาม โดยเห็นว่าเราคุยกันด้วยเลือดและชีวิตพอแล้ว ต้องหันมาใช้สันติวิธี"

การออกมาพูดครั้งนี้ของนายนิพิฏฐ์ มีพลังมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เห็นและทราบกันดีถึงความชัดเจนของสถานะ ของนายนิพิฏฐ์เป็นเพียงคนเล็กๆในพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาก็ชอบแสดงออกอ มาวิจารณ์เรื่องนู้นที เรื่องนี้ที สร้างบทบาทให้ตัวเอง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองจดทะเบียนที่เก่าแก่ที่สุดของไทยที่ยังดำเนินการอยู่ มีโครงสร้างสลัลซับซ้อน พรรคมีสมาชิกที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ จำนวน 2,895,272 คน นับเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกมากที่สุดในประเทศไทย และมีสาขาพรรคจำนวน 175 สาขา พรรคใหญ่ข มีดุลอำนาจใหญ่ประกอบกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทาง ดุลอำนาจของนายชวน หลีกภัย ที่มี นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ดุลของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับกลุ่มอดีตแกนนำกปปส.   อาทิ นายถาวร เสนเนียม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์  หรือแม้แต่นายอภิสทิธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจบันก็มีเครือข่ายสส.ที่ให้การสนับสนุน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายกรณ์ จาติกวณิช ซึ่งดุลอำนาจเหล่านี้จึงสร้างให้เกิดมุมมองการเมืองที่หลายหลาก ทุกมิติรอบด้าน ซึ่งแตกต่างกันออก และมีหลายครั้งที่พรรคเดียวกัน แต่มีความคิดเห็นที่ ไม่ลงรอย

 

อาทิเช่น ในกรณีของการทำประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา นายสุเทพได้ออกมาชูธง เสนอจุดยืนประกาศลั่นรับร่างรธน และได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ “Suthep Thaugsuban” ว่า “ตั้งแต่ 24 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป ผมจะพูดเรื่องรัฐธรรมนูญทุกวัน ตอนบ่ายสองโมง” พร้อมรูปภาพที่มีข้อความระบุว่า “ผมจะไปลงประชามติ รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้” โดยภายใต้รูประบุว่าจะถ่ายถอดสดผ่านแฟนเพจดังกล่าว 

 

นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ตนจะบอกกับผู้ที่เข้ามาติดตามเฟซบุ๊กว่าจะไปลงประชามติและรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้ร่าง โดยต้องการอธิบายให้หลายคนเข้าใจในแต่ละประเด็น แต่ละบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าเขียนไว้อย่างไร เช่น การปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการศึกษา ระบบการเลือกตั้ง การป้องกันปราบการทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น โดยเจตนาเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่มีเวลาอ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งเราจะช่วยอ่านแทน

 

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ แสดงท่าทีตัวร่างรัฐธรรมนูญชัดเจนเป็นครั้งแรกว่า “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ โดยชี้ทีละประเด็นว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาหลักของประเทศใน 3 เรื่อง คือ 1.ทิศทางการพัฒนาประเทศ 2.ความขัดแย้ง 3.การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

           “ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ แต่กลับจะสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ขึ้นมาจาก ส.ว. 250 คน” 

ในกรณีนี้ก็เช่นกันภายหลังนายนิพิฏฐ์ได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าว เกิดกระแสตีกลับจากทั้งฝั่งพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญ คนในพรรคเดียวกันก็ออกได้รีบออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวทันที

 

นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าขณะนี้พรรคการเมืองยังไม่สามารถดำเนินการประชุมหรือดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว และคิดว่ายังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่พรรคการเมืองจะมาทำการตกลงหรือนำเสนอประเด็นลักษณะเช่นนี้

 

ด้านนายอภิสิทธิ์ ก็ได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ "@mark_abhisit" ที่นายนิพิฏฐ์ที่ออกมาเปิดประเด็นการจับมือกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย เพื่อสกัดการสืบต่ออำนาจของ คสช. ว่า

“แสดงความเห็นความห่วงใยกันมาเยอะกรณีการเข้าร่วมเสวนาของคุณนิพิษฐ์”

“ทุกคนในพรรครวมทั้งคุณนิพิษฐ์ยืนยันตรงกันว่าอุดมการณ์ไม่ตรงกันก็ร่วมกันไม่ได้ สิ่งที่พูดเป็นการตอบคำถามสมมติ ซึ่งทางคณิตศาสตร์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ขอบคุณทุกท่านที่สะท้อนความรู้สึกมาครับ” 

 

จนท้ายที่สุดนายนิพิฏฐ์  กล่าวแก้ตัว ถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า ที่ระบุว่า พรรคการเมืองทุกพรรคจับมือกันตั้งรัฐบาล เพื่อขจัดกลไกของ คสช.ว่า ที่ตนพูดนั้น เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์การเมือง เพราะต้องมีเสียงจากสมาชิกรัฐสภา 375 คน คือ ทั้งจาก ส.ส.และ ส.ว.แต่ในสภาผู้แทนราษฎรต้องมี 250 คนขึ้นไป หากไม่พึ่งเสียง ส.ว.250 คน พรรคใหญ่ก็ต้องรวมตัวกัน จึงจะทำให้นายกรัฐมนตรีคนนอกเข้ามาไม่ได้ ซึ่งในวงเสวนา นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ระบุว่าไม่ปิดกั้นประเด็นนี้ แต่ตนก็เห็นว่าแนวทางนี้เกิดขึ้นยาก เพราะจุดยืนของสองพรรคแตกต่างกันมาก

 

ซึ่งเห็นว่าทางออกที่ดีที่สุดคือ ส.ว.250 คน ที่ คสช.แต่งตั้ง อย่าเป็นตัวแปรทางอำนาจให้ คสช.แต่ขอให้เป็นตัวเติมเต็มให้กับความต้องการของประชาชน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดวิกฤตการเมือง

ทั้งนี้ หลังจากที่มีข่าวออกมาก็ได้พูดคุยกับ นายอภิสิทธิ์ แล้ว ซึ่งท่านก็เข้าใจแนวคิดว่าต้องการสื่อสารให้ประชาชนรับทราบปัญหาล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

แต่อย่างไรก็ตามกระแสที่เกิดทั้งหมดล้วนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ การออกมาพูดโดยขาดความรับผิดชอบ ของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ผู้คนจำนวนไม่น้อยเร่ิมหมดศรัทธากันักการเมือง แะสิ่งที่เป็นอยู่ สมคล้องกับแนวความคิดที่ว่า ไม่มีใครจะทำอะไรเอาได้ นอกจาก “ประชาธิปัตย์”ทำ “ประชาธิปัตย์”เอง