“อนาคตใหม่” ..อนาคตล่วง ต้องสะดุดเมื่อเจอขวาง จับตา กกต.จะไฟเขียวหรือไม่..หวั่นสวรรค์ล่ม!!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ดูท่าจะไม่หมูสะแล้วสำหรับ “พรรคอนาคตใหม่” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร่วมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตนักวิชาการสายนิติราษฎร์ แม้ผลสำรวจของกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ครั้งล่าสุด (25 มี.ค. 61) กับคำถาม หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้งจะเลือกพรรคการเมืองใด ผลปรากฏว่าพรรคอนาคตใหม่มีคะแนนนิยมเป็นอันดับ 3  เมื่อพูดว่าเป็นอันดับ3 เหมือนจะดูดี คะแนนนำโด่ง แต่เมื่อมาพิจารณาตัวเลขแล้ว มีเพียง 3.9% เท่านั้นอีกทั้วจำนวนที่น่าสนใจ ตัวแปร สำคัญคือผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจสูงถึง 61.3% เลยทีเดียว  จะด่วนดีใจไปตอนนี้ก็คงต้องสะดุด

 

ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางของพรรคอนาคตใหม่ต้องสะดุดต่อ 2ชั้น เมื่อปรากฏว่ามีองค์กรที่เรียกตนเองว่า “สมาพันธ์ประชาชนตรวจสอบรัฐไทย (สปท.) ” นำโดยนายสนธิญา สวัสดี ประธานสมาพันธ์ฯ ยื่นคำร้องต่อประธานกกต. ขอให้ทบทวนการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่

 

โดยอ้างว่า เมื่อพรรคอนาคตใหม่เปิดตัวและแถลงนโยบาย นายปิยะบุตร แสงกนกกุล ผู้ร่วมจดจัดตั้งได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ไม่ได้แก้ไข แต่จะพิจารณา ซึ่งตนเห็นว่าแม้ขณะนี้ความเป็นพรรคของพรรคอนาคตใหม่ จะยังไม่เกิดขึ้นสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 15(3) ที่บัญญัติว่า คำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคและนโยบายของพรรค ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับพรรคด้วย ซึ่งแนวความคิดนายปิยะบุตร เกี่ยวกับมาตรา 112 ที่ประกาศก็จะเข้าลักษณะต้องห้ามของข้อบังคับตามมาตรา 14 ที่ระบุว่าต้องไม่มีลักษณะอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ จึงมายื่นเรื่องให้ประธานกกต. หรือนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาว่าการขอจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ขัดต่อกฎหมายหรือไม่

 

 

“การประกาศนโยบายของพรรคนี้ แค่เริ่มต้นก็แตกแยกแล้ว ความจริงแนวทางปฏิรูปประเทศมีตั้งมากมายที่ผู้จะจัดตั้งพรรคสามารถนำมาประกาศเป็นนโยบายของพรรค ไม่ควรไปก้าวล่วงต่อสถาบัน ผมจึงต้องการให้ประธานกกต. หรือนายทะเบียนพรรคการมเมืองได้พิจารณาให้ถ่องแท้ว่าถ้าเขายังยืนยันจะมีนโยบายเรื่องนี้อยู่จะให้เขาตั้งเป็นพรรคการเมืองจริงหรือไม่ และถ้าเขาตั้งเป็นพรรคได้ เขาจะละลาบละล้วงจาบจ้วงไปมากกว่านี้หรือเปล่า” 

 

เราต้องย้อนกลับไปดูข้อเท็จจริง โดยเมื่อวันที่15 มี.ค. นายปิยบุตร ได้แถลงว่า

 “ผมเคยร่วมกับอาจารย์หลายคนเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะทุกท่านคงทราบดีว่ามาตรา 112 ถูกนำไปใช้กลั่นแกล้งกันและทำลายศัตรูทางการเมืองฝั่งตรงข้ามที่คิดเห็นแตกต่างกัน การเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ”

“ณ วันนี้มีหลายกรณีที่เป็นตัวบ่งชี้ให้เราเห็นว่าแม้กระทั่งรัฐและกลไกของรัฐเองก็มีปฏิกิริยาในแง่ของการจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายอาญามาตรานี้เช่นเดียวกัน ในอดีตเคยมีการตั้งคณะกรรมการศึกษา ปัจจุบันคงเห็นหนังสือของสำนักงานอัยการสูงสุดออกมาว่าต่อไปนี้จะให้อัยการสูงสุดเท่านั้นที่เป็นคนพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ เราเห็นทิศทางของศาลที่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 มากขึ้น เราเห็นทิศทางของการมีคำพิพากษาจำนวนมากที่ยกฟ้อง นั่นหมายความว่ารัฐเองก็ตระหนักดีถึงปัญหาของมาตรา 112”

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า การปรับปรุงมาตรา 112 จะทำให้บุคคลทั้งหลายไม่สามารถนำกฎหมายมาตรานี้มาใช้ทำลายล้างกันได้อีก และบุคคลจะไม่สามารถฉวยโอกาสแอบอ้างเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายล้างผู้ที่เห็นต่างหรือศัตรูทางการเมืองของตนเอง สถาบันพระมหากษัตริย์จะดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ มั่นคง และมีเกียรติยศ ทันสมัย สอดคล้องกับประชาธิปไตย หากกฎหมายอาญามาตรานี้ถูกปรับปรุง

 

“ในส่วนของผมที่ ณ วันนี้เปลี่ยนบทบาทมาลงสนามในทางการเมือง หลายท่านคงจะถามว่าพรรคการเมืองนี้จะเอาอย่างไรต่อไปกับการแก้ไขมาตรา 112 พรรคนี้ไม่ใช่ของคุณธนาธรและไม่ใช่ของผม พรรคนี้เป็นของสมาชิกทุกคน นโยบายทุกเรื่องที่เราจะนำเสนอมีความหลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและประชาธิปไตย นโยบายของพรรคเกิดจากการตัดสินใจร่วมกันของสมาชิกและการรับฟังความคิดเห็นของประชาช ณ วันนี้ คสช.ไม่อนุญาตให้เราพูดเรื่องนโยบายนี้ ดังนั้น จะมีโอกาสที่ได้ทำหรือไม่ ณ เวลานี้ก็ตอบไม่ได้ และ พรรคการเมืองนี้ไม่ใช่ของผม ผมมีความคิดแบบนี้ แต่เรื่องจะสำเร็จหรือไม่ และจะเสนอหรือไม่ และจะเป็นนโยบายหรือไม่ อยู่ที่สมาชิกพรรค และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน” 

 

นายปิยบุตร กล่าวว่า ส่วนตัวยอมรับว่าได้ร่วมก่อตั้งนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นเกียรติยศและความภูมิใจในชีวิตที่ได้เสนอข้อเสนอจำนวนมากบนพื้นฐานของประชาธิปไตย แต่ ณ วันนี้ กำลังเปลี่ยนบทบาทจากนักวิชาการเข้ามาสู่สนามทางการเมือง ดังนั้น บทบาทเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลงไป นิติราษฎร์ก็ยังเป็นนักวิชาการ ยังใช้เสรีภาพทางวิชาการต่อไป แต่ส่วนตัวมีบทบาทในทางการเมือง เราไม่เกี่ยวข้องกัน อาจารย์ในกลุ่มนิติราษฏร์ที่เหลืออยู่ในวันนี้ก็ทำงานทางวิชาการต่อไป ส่วนตัวก็มุ่งหน้าทำการเมืองเพื่ออนาคตใหม่ ดังนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

 

 

ดังนั้นจะเข้าข่ายตามที่นายสนธิญากล่าวหานั้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายจะต้องพิจารณาต่อไป แต่เรื่องดังกล่าวทำเอานายปิยบุตร ต้นเรื่องถึงกับนั่งไม่ติด รีบออกมาโพตส์ เฟซบุ๊กสวนกลับนายสนธิญา ทันที โดยได้ชี้แจ้งดังนี้

 

1. ในการขอเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ผู้สื่อข่าวได้ถามผมเกี่ยวกับกรณีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผมได้ตอบว่า ผมได้ร่วมกับเพื่อนนักวิชาการและประชาชนในชื่อ “คณะรณรงค์แก้ไข ม. 112” ผลักดันให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อต้นปี 2555 โดยผมเห็นว่า การแก้ไขในกรณีนี้จะทำให้บุคคลไม่อาจนำมาตรา 112 มาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน ป้องกันมิให้บุคคลใดแอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายล้างกัน แก้ไขอัตราโทษให้ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคง อย่างทรงพระเกียรติยศ ทันสมัย และสอดคล้องกับประชาธิปไตย

 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 เท่านั้นที่เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งมี ศาสตราจารย์คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ได้เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ยังมีปัญญาชนสาธารณะ บุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายก้าวหน้า ได้แสดงความเห็นให้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกหลายครั้งด้วย ในปัจจุบัน เราเห็นการปรับตัวของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆเกี่ยวกับการนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ เช่น การกำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้องคดีความผิดตามมาตรา 112 การปล่อยตัวชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยในความผิดตามมาตรา 112 การยกฟ้องคดีความผิดตามมาตรา 112 ในบางกรณี ฯลฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่มีแต่ผมและคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 เท่านั้น แม้แต่หน่วยงานของรัฐเองก็ยังเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไข มาตรา 112 หรือปรับปรุงการบังคับใช้มาตรา 112 ให้ยุติธรรมมากขึ้น

 

“อนาคตใหม่” ..อนาคตล่วง ต้องสะดุดเมื่อเจอขวาง จับตา กกต.จะไฟเขียวหรือไม่..หวั่นสวรรค์ล่ม!!

2. การร่วมรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของผม เป็นการกระทำและความเห็นส่วนตนของผมซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้า ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่แต่อย่างใด ความเห็นส่วนตนของผมจึงไม่ใช่นโยบายของพรรค และไม่ใช่คำประกาศอุดมการณ์ของพรรค ในอนาคต เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งรับจดทะเบียนให้พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองแล้ว พรรคอนาคตใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องผูกพันกับความคิดของผม พรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกต่างหากจากสมาชิกพรรค ความคิดเห็นส่วนตนของผม จึงต้องแยกออกจากความคิด วัตถุประสงค์ และนโยบายของพรรค การนำความเห็นส่วนตนของผมไปตีขลุมเอาเองว่าเป็นความคิดของพรรคอนาคตใหม่ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อพรรคอนาคตใหม่ สมาชิกพรรค และประชาชนผู้สนับสนุนพรรค

 

ณ เวลานี้ การดำเนินการเพื่อจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ยังอยู่ในขั้นตอนยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 18 เท่านั้น ยังไม่มีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นตามระบบกฎหมาย เมื่อพรรคอนาคตใหม่ยังไม่เกิดขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการประชุมพรรค และจัดทำข้อบังคับพรรค กำหนดคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค และนโยบายของพรรคได้ ดังนั้นที่นายสนธิญา กล่าวอ้างว่า พรรคอนาคตใหม่มีข้อบังคับที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ ต้องห้ามตามมาตรา 14 นั้น จึงเป็นกรณีที่นายสนธิญา จินตนาการไปเอง

ตามขั้นตอนแล้ว หลังจาก คสช.อนุญาตให้ทำกิจกรรมการเมืองได้ ผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองก็จะประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค จัดทำข้อบังคับพรรค คำประกาศอุดมการณ์ นโยบาย และดำเนินการในเรื่องอื่นๆตามที่กฎหมายกำหนด จากนั้นก็จะดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งในขั้นตอนนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะต้องตรวจสอบอยู่แล้วว่าข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 14 หรือไม่ หากมี นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้แก้ไขข้อบังคับพรรคนั้น

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจตรงกัน และเพื่อป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลผู้ไม่ต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้ฉวยโอกาสนำเรื่องเหล่านี้มาปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ได้ ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค

 

3. ผมและผู้ร่วมยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เห็นร่วมกันถึงความจำเป็นในการก่อตั้งพรรคการเมืองแบบใหม่ เพื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยเสียใหม่ให้การเมืองไทยดีขึ้น การดำเนินการของพวกเราทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง อยากให้สังคมไทยออกจากวิกฤติความขัดแย้งและวงจรรัฐประหาร นำการเมืองแบบประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์กลับมา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปข้างหน้า

 

เราอยู่ในวังวนของการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์ มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู เสียเวลาและพละกำลังไปกับการทำลายล้างกันทางการเมือง ประเทศไทยสูญเสียเวลาและโอกาสไปมากพอแล้วกับเรื่องเหล่านี้ เราควรช่วยกันยุติการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์แบบนี้

 

ผมขอความกรุณาจากบุคคลที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ได้ใช้สติปัญญาตรึกตรองอย่างมีเหตุมีผล เปิดใจรับฟังในสิ่งที่พวกเราทำ หากยังมีข้อขัดข้องหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องใด ผมพร้อมที่จะอภิปรายถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ในทุกเรื่อง ในทุกเวที

 

ผมขอความกรุณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อนำพาประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์และเข้มแข็งกลับมา ให้พวกเราได้ร่วมกันกับประชาชนในการกำหนดอนาคตใหม่

 

ผมขอเรียนไปยังบุคคลที่ไม่อยากเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ขอเถิดครับ ขออย่าขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เลย ต่อให้วันนี้ พวกท่านขัดขวางไม่ให้พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นได้ แต่ก็จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่อยากให้มีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นอยู่ดี ในวันหน้า พวกเขาก็จะหาทางก่อตั้งมันขึ้นมาจนได้

 

โปรดอย่าขัดขวางพรรคอนาคตใหม่เลยครับ การขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ มิใช่ขัดขวางผมและเพื่อนเท่านั้น แต่มันคือการทำลายความหวังของประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงอนาคตใหม่ด้วย.

“อนาคตใหม่” ..อนาคตล่วง ต้องสะดุดเมื่อเจอขวาง จับตา กกต.จะไฟเขียวหรือไม่..หวั่นสวรรค์ล่ม!!

 

สมทบด้วย นายธนาธร ได้แชร์ข้อความของนายปิยบุตร พร้อมกับเขียนบรรยาย ระบุว่า

 

“ยังคงมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการขัดขวางไม่ให้พรรคอนาคตใหม่ได้ถือกำเนิด ผมขอให้กกต.หนักแน่นในการทำตามกฎหมายอย่างเป็นธรรม ขอให้คสช.เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองใหม่ได้มีบทบาท ตามที่พลเอกประยุทธ์เคยกล่าวไว้ว่าอยากเห็นนักการเมือง พรรคการเมืองหน้าใหม่ๆสร้างสรรค์การเมืองใหม่ให้กับประเทศไทย

 

อย่าทำลายความหวัง ความตั้งใจของประชาชนเลยครับ”