พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากวันยึดอำนาจก้าวสู่ เส้นทาง..ผู้นำทางการเมืองเยี่ยงรัฐบุรุษ ที่ประชาชนต้องการ !!?

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 อันเป็นวันที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ เป็นต้นมา ต้องถือว่าหัวหน้า คสช. ได้เปลี่ยนบทบาทของตนจากความเป็นนักการทหาร มาสู่บทบาทการเป็นผู้นำทางการเมืองแล้วตั้งแต่บัดนั้น เพียงแต่ไม่ใช่นักการเมืองหรือนักเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เส้นแบ่งสำคัญเริ่มต้นแล้วในวันดังกล่าว และระหว่างการเป็นนายทหารกับการก้าวสู่บทบาททางการเมืองอย่างเต็มขั้นของท่าน ได้ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากนั้น


เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ที่ท่านได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารประเทศเรื่อยมาจนปัจจุบัน จนจะครบเวลา 4 ปีในอีกไม่กี่วัน ซึ่งอยู่นานจนครบวาระยิ่งกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกด้วย ความเป็นนักการเมืองของท่านจึงเป็นมาตั้งแต่วันที่เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศแล้ว มิใช่เกิดขึ้นในวันที่ท่านมาให้สัมภาษณ์และยอมรับความเป็นนักการเมืองในภายหลังเมื่อไม่นานมานี้


ความจริงแล้ว พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในมุมมองของผู้เขียน ไม่อยากเรียกท่านว่าเป็น “นักการเมือง” ในนิยามหรือความหมายทั่วๆไป ที่เป็นเพียงนักเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองและแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองและพรรค การเมืองหรือพวกพ้องของตน อย่างที่เราท่านเห็นและเป็นอยู่ในอดีต นักการเมืองที่ดีก็อาจจะมีแต่ก็น้อยและหายากเต็มทนในสังคมไทย

การก้าวเข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหารยึดอำนาจของ คสช.ดังกล่าว หากพิจารณาจากแถลงการณ์และคำประกาศของ คสช.ต่อประชาชนทั้งประเทศ ท่านมีความตั้งใจเข้ามารักษาความสงบของบ้านเมือง แก้ปัญหาของประเทศที่นักการเมืองนักเลือกตั้งก่อไว้กับประเทศจนเสียหาย และมุ่งจะดำเนินการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้านให้ดีขึ้นและเห็นผลโดยเร็ว โดยจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ และจัดให้มีการเลือกตั้งคืนประชาธิปไตยและความสงบสุขแก่ประชาชน

ซึ่งการประกาศจุดยืนทางการเมือง และแถลงแนวทางนโยบายสำคัญๆ อันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า หัวหน้า คสช.คงมิได้ต้องการเพียงมาเป็นนักการเมืองธรรมดาๆ อย่างที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจ หากเป็นการประกาศและให้สัญญาต่อประชาชนว่า ท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะนำพาประเทศชาติก้าวไปสู่สังคมใหม่ การเมืองใหม่ ที่ประเทศจะต้องได้รับการปฏิรูปในทุกๆ ด้าน เพื่อหลีกพ้นจากการเมืองเก่า ๆ ที่สร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง

บทบาทเช่นนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอยู่ในฐานะผู้นำทางการเมือง ผู้นำประเทศที่จะนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่บ้านเมือง มิใช่นักการเมืองธรรมดาๆ ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ควรวางบทบาทและปฏิบัติตน เช่น นักการเมือง ที่คิดถึงแต่เพียงชัยชนะของการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไปคิดถึง และหวังผลแต่คะแนนเสียง โดยมิได้คำนึงถึงประเทศชาติและอนุชนรุ่นต่อๆ ไป พูดง่ายๆ ก็คือท่านควรคิดเยี่ยงรัฐบุรุษ ไม่ควรคิดแบบนักเลือกตั้ง นั่นเอง

สิ่งที่ประเทศและประชาชนต้องการอย่างยิ่งขณะนี้คือ “ต้อง การผู้นำทางการเมืองเยี่ยงรัฐบุรุษ มาบริหารชาติและนำพาประเทศ มิได้ต้องการนักการเมืองนักเลือกตั้งอย่างในอดีต” เพราะก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าในอดีตที่ผ่านมา ประเทศชาติบ้านเมืองเสียหายย่อยยับ ก็ด้วยนํ้ามือของนักการเมืองนักเลือกตั้ง โดยเฉพาะพวกที่โกงชาติบ้านเมือง เห็นแก่ประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ไล่เลียงมาในยุคหลังตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา เมื่อพ้นจากรัฐบาลฯพณฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บ้านเมืองของเราต้องเจอกับ “รัฐบาลยุคบุฟเฟ่ต์คาบิเนต หรือมือใครยาวสาวได้สาวเอา โกงได้โกงไป” ต่อจากนั้นก็มาเจอกับรัฐบาลยุคความหวังหมด เศรษฐกิจล้มทั้งประเทศ ต้องลดค่าเงินบาท เงินคงคลังของชาติหมดเกลี้ยงหน้าตัก ทรัสต์และบริษัทเงินทุนปิด ธนาคารล้ม เศรษฐกิจของชาติพังยับเยินย่อยยับ ประเทศล้มต้องกู้และเข้าโปรแกรมไอเอ็มเอฟ กว่าจะฟื้นตัวได้

 

และจากนั้นไม่นานระบอบการเมืองที่เลวร้ายที่สุดคือ “ระบอบทักษิณ” ก็เข้ากลืนกินประเทศ อันเป็นที่สุดของความชั่วร้ายเท่าที่ประเทศเคยได้รับและผ่านพ้นมา เรียกว่าเป็น “ระบอบโคตรโกงและโกงกันทั้งโคตร” บ้านเมืองเสียหายย่อยยับและไร้ความสงบสุข สังคมวุ่นวายด้วยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง กับประชาชนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับการเมืองเลว ผู้ปกครองโกงและทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน การที่ คสช.ประกาศเข้ามารักษาความสงบของบ้านเมือง และต้องการชำระสะสางยุติปัญหาของบ้านเมือง ที่นักการเมืองในอดีตก่อไว้และมุ่งปฏิรูปประเทศ จึงตรงใจและได้ใจประชาชน ซึ่งผู้ที่จะปฏิบัติภารกิจดังกล่าวสำเร็จ ต้องเป็นผู้นำทางการเมือง ผู้นำประเทศที่ดี ที่คิดเยี่ยงรัฐบุรุษเท่านั้น จึงสามารถแก้ปัญหา และสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน พัฒนาชาติและประเทศให้ก้าวพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้ไปได้

 

สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ มีความชัดเจนว่า พล.อ. ประยุทธ์ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะดำรงบทบาททางการเมืองของตนต่อไป จะด้วยมุ่งหวังปฏิบัติภารกิจที่ดำเนินมาให้มีความต่อเนื่องและได้รับผลสำเร็จต่อไป หรือจะโดยเหตุผลใดก็ตาม จนถึงขั้นที่อาจมีพรรคการเมืองของตนมารองรับการเข้าสู่อำนาจตามรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องปรับทัศนคติของตนในทางการเมืองเสียใหม่

 

 

หลังจากที่ได้ปรับทัศนคติใครต่อใครมาแล้ว หากต้องการมีพรรค การเมือง ก็ควรสร้างพรรคให้เป็นตัวแทนของคนในชาติ (National Party) ควรสามัคคีทุกพลังในชาติให้มาร่วมมือกันเพื่อบ้านเมือง ควรปลดปล่อยทุกพลังของคนในชาติที่ถูกกักขังจองจำทางการเมืองโดยไม่เป็นธรรม ไม่เลือกสีไม่เลือกเหล่า ไม่เลือกปฏิบัติ นักเลือกตั้งช่วยคะแนนเสียง แต่ประชาชนเป็นพลังศรัทธาที่โอบอุ้มรัฐบาล สนับสนุนผู้นำหรืออาจล้มผู้นำได้ จึงต้องสามัคคีทุกพลัง อย่าทอดทิ้งประชาชน มีแต่ทัศนคติเช่นนี้ จึงจะชนะและเป็นผู้นำทางการเมืองในใจประชาชน

 


ขอบคุณ
คอลัมน์ | ข้าพระบาท ทาสประชาชน| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ