ชัดเจนแล้ว เปิดข้อมูล เล่นมือถือในปั๊มน้ำมัน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้หรือไม่

"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ระบุเรื่อง สัญญาณโทรศัพท์มือถือ และการเกิดไฟไหม้ปั๊มน้ำมัน

"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ 

"ไฟไหม้ปั๊มน้ำมัน อาจเกิดจากไฟฟ้าสถิตที่มาจากร่างกายคน แต่ไม่ได้เกิดจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือครับ"

มีเพจนึงโพสต์รูปเตือนภัยประชาชน ทำนองว่า เด็กปั๊มน้ำมันใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างที่เติมน้ำมันไปด้วย และกลัวว่าจะเกิดไฟฟ้าสถิตทำให้เป็นอันตราย แถมมีการอ้างว่าเอามาจากคำแนะนำของผม

ชัดเจนแล้ว เปิดข้อมูล เล่นมือถือในปั๊มน้ำมัน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้หรือไม่

ต้องเคลียร์ให้เข้าใจว่า ผมพูดค้านมาตลอด เรื่องที่ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในปั๊มน้ำมัน (เพราะกลัวว่าจะทำให้เกิดไฟไหม้) เนื่องจากจริงๆแล้วมันเป็นความเชื่อที่คาดเดากันไปเอง เชื่อตามๆ กันมา จากฟอร์เวิร์ดเมล์ในอดีต

สัญญาณโทรศัพท์มือถือนั้น ไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้ไอระเหยน้ำมันติดไฟขึ้นได้ .. มีการทดลองพิสูจน์ให้ดูกันอย่างชัดเจนแล้ว

แต่ที่เคยมีคลิปมี ข่าวกันว่า คนไปเติมน้ำมันแล้วเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นนั้น จริงๆแล้ว เป็นปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิต ที่มาจากร่างกายของผู้เติมน้ำมันนั่นเอง (เช่น อากาศแห้ง นั่งตากแอร์ในรถ ถูกับเบาะ แล้วเกิดการสะสมประจุไฟฟ้าขึ้น / หรือใส่เสื้อผ้าร่ม เสียดสีมากๆ แล้วมีประจุไฟฟ้าได้) ซึ่งไฟฟ้าสถิตนี้ มีความแรงเพียงพอที่จะ spark ให้ไอน้ำมันจากหัวจ่ายเกิดการติดไฟขึ้นได้

ดูรายละเอียดในโพสต์เก่าของผมได้ ด้านล่างนี้ครับ

-------

 

(รีโพสต์) "สัญญาณโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถจุดไฟได้ครับ"

โพสต์นี้ ขัดกับความเชื่อคนเกือบทุกคนในสังคมไทยแน่ๆ แต่เนื่องจากเช้านี้มีสื่อมาสัมภาษณ์เยอะ พอๆ กับที่มีถามมาหลังไมค์ จากกรณีคลิปมอเตอร์ไซค์ไปเต็มน้ำมัน แล้วอยู่ก็ไฟลุกท่วม (ดูรูปประกอบ) โดยเชื่อว่าเกิดจากการที่โทรศัพท์เข้าพอดี แล้วสัญญาณโทรศัพท์ทำให้เกิดประกายไฟ เหมือนอย่างที่มีป้ายห้ามๆ กันตามปั้มว่าห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในปั๊มน้ำมัน

ออกตัวก่อนว่าผมเองก็พยายามทำตาม "ป้ายห้ามใช้มือถือในปั๊ม" นี้นะ แต่ก็คิดว่าต้องเคลียร์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้อง ว่าเรื่องนี้มันเป็นแค่ความเชื่อตามๆ กันมาเท่านั้น ออกจะ pseudo science ซะด้วย ไม่ได้มีหลักฐานยืนยันว่าเคยมีเหตุการณ์ "โทรศัพท์ในปั๊ม แล้วไฟไหม้" เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำ

ความเชื่อนี้มันเริ่มจากข่าวลือเตือนภัย ผ่านฟอร์เวิร์ดอีเมล์ ที่เผยแพร่ในเน็ตตั้งแต่ 1999 ในอินโดนีเซีย แล้วสื่อในไทย (เช่น บางกอกโพสต์) และต่างประเทศก็โหมกระจายกันไป จนเชื่อกันจริงจัง ทั้งที่ในทางเทคนิคแล้ว การใช้โทรศัพท์มือถือในปั้มน้ำมัน ไม่ได้จะไปก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ เนื่องจากว่าพลังงานจากคลื่นวิทยุที่ปล่อยจากโทรศัพท์นั้นมีค่าต่ำมาก ไม่สามารถจะก่อให้เกิดความร้อน-ประกายไฟใดๆ ที่จะไปทำให้ไอน้ำมันลุกติดไฟได้ (ไม่เหมือนกับการสูบบุหรี่ หรือจุดไม้ขีด ในปั๊ม)

ในหลายๆ ประเทศมีการรายงานถึงกรณีที่เชื่อว่าไฟไหม้ในปั๊มน้ำมันจากการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่พอไปสืบสวนแล้วก็ไม่พบว่าเป็นเช่นนั้น … ถ้าจะเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นได้จากการใช้มือถือในปั๊ม ก็มีเพียงแค่ว่าโทรศัพท์อาจจะบังเอิญตกหล่น แบตเตอรี่บังเอิญหลุดกระเด็น บังเอิญกระแทกพื้น บังเอิญเกิดประกายไฟ บังเอิญ… ฯลฯ จนไปทำให้ไอน้ำมันลุกไหม้ (แต่จริงๆ ก็ไม่เคยมีรายงานการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้)

เอาเข้าจริงๆ แล้ว ผลการวิเคราะห์ขององค์กรต่างๆ ด้านความปลอดภัยในการใช้น้ำมัน ได้สรุปไปในทางเดียวกันว่า การลุกติดไฟระหว่างเติมน้ำมันนั้น ไม่ได้เกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือ แต่เกิดจาก "ไฟฟ้าสถิต" จากมือของผู้เติมน้ำมันนั้นเอง .. ซึ่งเรื่องนี้ต่างหาก ที่จะต้องให้ความรู้กัน และรณรงค์ป้องกัน

รายการดังอย่าง Mythbusters ได้เคยทดลองพิสูจน์เรื่องนี้ถึงสองรอบ แล้วได้คำสรุปชัดเจน โทรศัพท์มือถือไม่สามารถจุดไฟน้ำมันเชื้อเพลิงได้ แม้จะใส่ไว้ในถังที่เต็มไปด้วยไอระเหยของน้ำมันผสมกับอากาศให้ติดไฟได้ง่ายก็ตาม … ความเสี่ยงจริงๆ คือการที่คนขับรถมีไฟฟ้าสถิตตามร่างกาย และไม่ได้คายประจุไฟฟ้าเสียก่อน (ด้วยการสัมผัสกับโลหะ เช่น ตัวถังรถ) ก่อนที่จะเติมน้ำมัน (ในเมืองนอก คนขับจะเป็นคนเติมน้ำมันเอง)

แล้วสรุปว่า รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นไฟไหม้ระหว่างเติมน้ำมันได้อย่างไร ถ้าดูเนื้อข่าวจริงๆ (ด้านล่าง) จะเห็นว่าไม่มีใครยืนยันได้ว่ามีโทรศัพท์โทรเข้ามาจริงอย่างที่อ้าง และยังมีการพบว่ามือถือเครื่องนั้นกำลังชาร์จไฟกับเพาเวอร์แบงค์อยู่ด้วย … ถ้าไม่เกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นจากมือเด็กปั๊ม (เพราะประเทศไทยนั้นร้อนชื้น มักจะไม่เกิดปัญหานี้เหมือนในประเทศเขตหนาว) เจ้ามือถือชาร์จไฟเพาเวอร์แบงค์เนี่ย ยังดูจะน่าสงสัยกว่าเลยในสายตาผม

ชัดเจนแล้ว เปิดข้อมูล เล่นมือถือในปั๊มน้ำมัน ทำให้เกิดไฟลุกไหม้ได้หรือไม่

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ thainewsonline