ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้มือถือขณะขับรถ ต้องเชื่อมอุปกรณ์ไร้สาย มีผลทันที

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศล่าสุด ผู้ขับขี่ใช้มือถือขณะขับรถ ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบไร้สาย ให้มีผลทันที หากจำเป็นต้องจับมือถือให้หยุดรถ

    ประกาศราชกิจจาล่าสุด  เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ขับขี่ขณะขับรถ พ.ศ. 2565 โดยระบุว่า โดยที่มาตรา 43 (9) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด เพื่อความปลอดภัยในกรณีผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้มือถือขณะขับรถ ต้องเชื่อมอุปกรณ์ไร้สาย มีผลทันที

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 43 (9) แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ขับขี่ขณะขับรถไว้


    ประกาศฉบับดังกล่าว กำหนดให้ผู้ขับขี่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะขับรถได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้มือถือขณะขับรถ ต้องเชื่อมอุปกรณ์ไร้สาย มีผลทันที

ใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาหรือระบบกระจายเสียงจากเครื่องโทรศัพท์ โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่


ใช้อุปกรณ์เสริมพิเศษสำหรับยึดหรือติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับส่วนหน้าของตัวรถทุกครั้ง ก่อนการขับรถ ทั้งนี้ ต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรือเสียความสามารถในการขับรถ กรณีผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องถือ จับ หรือสัมผัสโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อใช้งานโดยประการใด ๆ ให้ผู้ขับขี่หยุดหรือจอดรถในสถานที่ส าหรับจอดรถอย่างปลอดภัย ก่อนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศใช้มือถือขณะขับรถ ต้องเชื่อมอุปกรณ์ไร้สาย มีผลทันที

หลังจากประกาศฉบับนี้ใช้บังคับแล้วเป็นระยะเวลาห้าปีหรือเมื่อมีเหตุจําเป็นอื่น ให้มีการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ขับขี่ขณะขับรถ โดยรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการพิจารณา

 

เว็บไซต์ราชกิจจาฯ

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ thainews