บิ๊กโจ๊ก กร้าว โดนสกัดไม่ให้ขึ้นผบ.ตร. ลุยสู้ต่อ ถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ประกาศชัด ถ้าผิดจริงวันนี้ผมออกเลย ถ้าสอบสวนผมอย่างเป็นธรรม แต่วันนี้มันสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม ผมต้องสู้!

22 เม.ย.67 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมายัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ตนเองถูกดำเนินคดีและเข้าสู่ขบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม มานานกว่า 6 เดือน จนถึงขั้นให้ออกจากราชการไว้ก่อน 

บิ๊กโจ๊ก กล่าวว่า วันนี้ตนออกมาต่อสู้เพื่อตัวเอง โดยจะเน้นในเรื่องของคดีอาญาที่มีการดำเนินการโดยมิชอบ จะไม่พูดถึงสำนวนคดีว่าใครผิด ใครถูก โดยในวันนี้ตนมาพร้อมกับหลักฐานโดยระบุว่า ในคดีนี้เริ่มจากการดำเนินคดีกับลูกน้องตนทั้ง 8 และมีการขยายผลมายัง ตน,ละลูกน้อง รวม 5 คน ท้ายที่สุดทาง ป.ป.ช. มีมติเรียกกลับสำนวน เพราะเป็นคดีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง

บิ๊กโจ๊ก กร้าว โดนสกัดไม่ให้ขึ้นผบ.ตร. ลุยสู้ต่อ ถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว

 ซึ่งตามกระบวนการ ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นและส่งให้ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน โดยไม่ได้มีหน้าที่ในการสอบสวน หรือออกหมายเรียก หรือขอศาลออกหมายจับ  ปรากฎว่าหลังจากนั้นพนักงานสอบสวนกลับมีการทยอยแบ่งสำนวนกันทำ

 

ทั้งที่เป็นเส้นเงินเดียวกัน ผู้ต้องหากลุ่มเดียวกัน และเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องส่ง ป.ป.ช. ในคราวเดียวกันและเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ตนมองว่าการสอบสวนของตำรวจ สน.เตาปูน ไม่เป็นธรรม

ส่วนในความผิดฐานฟอกเงินหากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ป.ป.ช. จะต้องสอบสวน แต่ถ้าหากความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 300 ล้านบาท ต้องเป็นอำนาจของ DSI โดยพนักงานสอบสวนจะต้องส่งสำนวนคดีพิเศษให้ DSI ภายใน 15 วัน แต่ทางพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน อ้างว่า ความเสียหายไม่ถึง 300 ล้าน ซึ่งภายหลังพบว่าสำนวนที่ส่งให้ ป.ป.ช. มีความเสียหายอยู่ที่ 490 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าการที่พนักงานสอบสวน สอบสวนแทน ป.ป.ช. ไม่ได้หวังผลในเรื่องคดี 

บิ๊กโจ๊ก กร้าว โดนสกัดไม่ให้ขึ้นผบ.ตร. ลุยสู้ต่อ ถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว

 

“แต่หวังผลไม่ให้ตนขึ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ซึ่งตนเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. อันดับที่ 1 แต่ถ้าหากตนเป็นอันดับที่ 6 คงไม่ถูกกระทำแบบนี้”

 

ตนมองว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงมีการกลั่นแกล้งและมีขบวนการแบ่งงานกันทำและตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมาโดยตลอด แต่ภายหลังจากที่มีคำสัางให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน (18 เม.ย.) 1 วันหลังจากนั้น คณะพนักงานสอบสวนส่งสำนวนให้กับ ป.ป.ช. (19 เม.ย.) ซึ่งมองว่า ถ้ามีการส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ตั้งแต่แรก ตนจะอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์ จนกว่าคณะกรรมการจะชี้มูลและคดีจะเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งตามกฎหมายจะไม่สามารถแต่งตั้งหรือโยก ย้ายตนได้ 

 

"ถ้าสอบสวนอย่างเป็นธรรม แล้วผมผิดจริงผมออกเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว"