- 28 ก.ย. 2568
จากการศึกษาพบว่า ผักแพวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีคุณสมบัติที่ช่วยในการปรับสมดุลไขมันในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของหัวใจคุณ
ผักแพว (Vietnamese Coriander) ผักพื้นบ้านกลิ่นหอมฉุนที่คุณคุ้นเคย ไม่ได้มีดีแค่ความแซ่บ แต่เป็นพืชสมุนไพรที่มีศักยภาพสูงในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังที่สำคัญถึง 3 ด้าน
อย่ามองข้าม ผักแพว ผักไทยคู่ครัว ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้
1. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผักแพวมีบทบาทสำคัญในการบำรุงหัวใจและป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) หลายชนิด เช่น เควอซิทิน (Quercetin), รูติน (Rutin), และ เคมพ์เฟอรอล (Kaempferol) สารเหล่านี้ช่วย:
ปกป้องเซลล์: ลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบและการเสื่อมของเซลล์
ป้องกันโรคหัวใจ: มีงานวิจัยที่ชี้ว่าการบริโภคผักแพวช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้
2. ปรับสมดุลไขมันในเลือด
รสเผ็ดร้อนของผักแพวมีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเมแทบอลิซึม ซึ่งมีผลดีต่อการควบคุมระดับไขมัน:
ลดคอเลสเตอรอล: ผักแพวมีใยอาหารสูง ซึ่งช่วยจับกับไขมันและคอเลสเตอรอลในทางเดินอาหาร และขับออกจากร่างกาย
เพิ่มการเผาผลาญ: มีการระบุว่ารสเผ็ดของผักแพวช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในเลือดได้ ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและปรับสมดุลไขมัน
3. ศักยภาพในการควบคุมน้ำตาลในเลือด
นอกจากคุณสมบัติเด่นเรื่องหัวใจและไขมันแล้ว ผักแพวยังแสดงความสามารถในการช่วยจัดการระดับน้ำตาลในเลือด:
ยับยั้งเอนไซม์น้ำตาล: มีผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่พบว่าสารสกัดจากผักแพวมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยแป้งและน้ำตาล (α-Glucosidase) ซึ่งอาจช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้
ข้อควรระวัง: แม้จะแสดงศักยภาพที่ดีในการวิจัยเบื้องต้น แต่ยังคงต้องมีการศึกษาทางคลินิกเพิ่มเติมในมนุษย์เพื่อยืนยันผลลัพธ์และความปลอดภัยในการใช้ควบคุมโรคเบาหวานอย่างจริงจัง
ข้อแนะนำเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
การบริโภคผักแพวควรเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างรอบด้าน โดยต้องควบคู่ไปกับ:
การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การควบคุมอาหาร: เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม
คำเตือน: สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยาเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการนำสมุนไพรใด ๆ ไปใช้ในการรักษาโรค
ข้อมูลอ้างอิงและสนับสนุนโดย สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข






