- 04 ก.ย. 2559
ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/
4 กันยายน วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า “เจ้าฟ้าจุฑามณี” เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า “ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย” เมื่อมีผู้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระอนุชาขึ้นครองราชย์พร้อมกันไปด้วย พร้อมทั้งทำพิธีพระบวรราชาภิเษกเสมอด้วยเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2
เนื่องจากพระปิ่นเกล้าทรงมีกำลังทหารมาก และมีพระชะตาแรงสมควรได้เป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง เสมือนอเมริกาที่มีประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม ชาติฝรั่ง ระบุลงในบันทึกว่าอำนาจบริหารประเทศอยู่ที่พระจอมเกล้า 80 % ขณะที่พระปิ่นเกล้าอยู่ที่ 20 %
ส่วนเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นอีกมุมหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย ที่น้อยคนนักจะได้รู้ว่าการสร้างพระพรหมเอราวัณ กลางเมืองหลวงเพื่อดับอาถรรพณ์นั้น มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับดวงจิตวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ท่านทรงปกปักคุ้มครองบ้านเมือง ในนาม “พระพรหมเกศโร” หรือที่เราๆ รู้จักกันว่า “พระพรหมเอราวัณ”
(สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)
เปิดประวัติ ที่มาพระพรหมเอราวัณ
“พระพรหมเอราวัณ” นามว่าเอราวัณนั้นจริงๆ เป็นชื่อโรงแรมหาใช่ชื่อจริงนามจริงขององค์พระพรหมไม่ แล้วนามจริงๆ ขององค์พรหมมีใครรู้บ้างว่าชื่ออะไร
แท้จริงแล้วองค์พระพรหมองค์นี้มีนามว่า “ท้าวมหาพรหมเกศโร” หรือ “ท่านพ่อเกศโร” ซึ่งก็คือ “สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” น้องชายแท้ๆ ของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ที่มีดวงพระชาตาแรงกล้ายิ่งนัก ทั้งเก่งเรื่องคาถาอาคมตลอดจนวิทยาการแบบตะวันตก
ที่มานั้นสืบเนื่องจากตอนประกอบพิธีเชิญดวงพระวิญญาณ ผู้เชิญในยุคนั้นคือคุณหลวงสุวิชาญท่านมีความสามารถในการติดต่อโลกทิพย์มีหูทิพย์ตาทิพย์เป็นที่เลื่องลือยิ่งนัก
ท่านได้ติดต่ออาราธนาบารมีแห่งสมเด็จพระปิ่นเกล้าหรือท่านพ่อเกศโรมหาพรหม ให้แผ่บารมีสถิตย์ดับอาถรรพ์นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สถานที่แห่งนี้พร้อมทั้งผู้สักการะบูชา
สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่องลือในวิทยาคมมาตั้งแต่เป็น “เจ้าฟ้าจุฑามณี” ร่ำลือกันต่างๆนาๆว่า ล่องหนหายตัวบ้าง เดินบนน้ำบ้างและอีกสารพัด ผู้ชำนาญในวิทยาคมย่อมแก่กล้าในด้านสมถะภาวนา เรื่องสมาธิฌานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องเหนือความสามารถ
คุณหลวงสุวิชาญผู้มีหูทิพย์ตาทิพย์ในยุคนั้น ได้ติดต่อกับดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้า จึงทราบว่าพระองค์ขึ้นไปอุบัติเป็น “ท้าวมหาพรหมเกศโร” มีเดชศักดายิ่งนัก เมื่อคราวโรงแรมเอราวัณประสบอาถรรพจึงสร้างพระพรหมแล้วเชิญบารมีท่านพ่อเกศโรมาดับอาถรรพ
ในยุคนั้นคุณหลวงสุวิชาญยังได้มาสร้างพระบวรนุเสาวรีย์สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าโรงละครแห่งชาติในปัจจุบันด้วยแล้วเชิญพระบารมีแห่งท่านพ่อเกศโรมหาพรหมลงสถิตย์เป็นมิ่งขวัญสิริมงคล
(พระบวรนุเสาวรีย์สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวที่หน้าโรงละครแห่งชาติ)
นอกจากนั้น สถานที่ที่จะสักการะพระองค์ท่าน ยังมี “พระบวรนุเสาวรีย์สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” ที่โรงละครแห่งชาติ เรื่องพลังเหนือโลกก็อันเดียวกันกับที่โรงแรมเอราวัณ เพราะคนเชิญบารมีก็คุณหลวงสุวิชาญคนเดียวกัน ใครจะไปที่ไหนก็ไป แต่ที่แน่ๆคือ “พระบวรนุเสาวรีย์สมเด็จพระปิ่นเกล้า” เป็นอีกที่หนึ่งที่มั่นใจได้ว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
ประวัติของสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 50 หรือ พระราชกุมารพระองค์ที่ 27 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 3 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระองค์พระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชบิดา ซึ่งในครั้งนั้นเรียกว่า พระบวรราชวังใหม่ อันเนื่องมาจากในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยดำรงพระอิสริยยศที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยมีคุณหญิงนก (ไม่ทราบสกุล) เป็นพระพี่เลี้ยง
พระองค์มีพระเชษฐาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฏ (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี
หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว 10 ปี พระองค์ก็เริ่มทรงพระประชวรบ่อยครั้ง หาสมุฏฐานของพระโรคไม่ได้ เสด็จสวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 2 แรม 6 ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่ง ตรงกับ วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 พระชนมพรรษา 58 พรรษา ทรงอยู่ในบวรราชสมบัติทั้งสิ้น 15 ปี
หนังสือแนะนำ : บารมีพระพรหม โดย “ทิพยจักร”






