สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พระชะตาแรงจนประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นพระองค์ที่2 รำลึกที่มาวันฉัตรมงคล ในสมัย ร.4

ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/

25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 วันพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นพระราชบุตรลำดับที่ 50 หรือ พระราชกุมารพระองค์ที่ 27 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 3 ที่ประสูติแต่สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระองค์พระราชสมภพเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ณ พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่ พระองค์มีพระเชษฐาร่วมพระราชมารดา รวมทั้งสิ้น 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าชาย (สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ) สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฏ (ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี

  สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พระชะตาแรงจนประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นพระองค์ที่2 รำลึกที่มาวันฉัตรมงคล ในสมัย ร.4

ภายหลังพระองค์ประสูติได้ประมาณ 1 เดือน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคตเป็นผลให้สมเด็จพระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี

เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสพระองคใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จขึ้นครองราชสมบัติพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงสด็จกลับไปประทับ ณ พระราชวังเดิม พร้อมกับพระราชมารดา ส่วนสมเด็จพระเชษฐาของพระองค์นั้นทรงสมณเพศประทับอยู่ ณ วัดมหาธาตุและวัดสมอราย เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 21 พรรษา ผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเสด็จไปประทับ ณ วัดระฆังโฆษิตาราม หลังจากลาผนวชพระองค์จึงเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

  สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พระชะตาแรงจนประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นพระองค์ที่2 รำลึกที่มาวันฉัตรมงคล ในสมัย ร.4

(พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เจ้าอยู่หัว)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระราชวงศ์และเสนาบดีมีมติเห็นชอบให้ถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกาลต่อมา) จึงมอบหมายให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไปเฝ้าเจ้าฟ้ามงกุฎ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร แต่เจ้าฟ้ามงกุฎตรัสว่า ถ้าจะถวายพระราชสมบัติแก่พระองค์จะต้องอัญเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นครองราชย์ด้วย

เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นผู้ที่มีพระชะตาแรง ต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์

ดังนั้น จึงได้มีการเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ขึ้นทรงราชสมบัติที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล มีพระราชพิธีบวรราชาภิเษกและทรงรับพระบวรราชโองการให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า

“พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศร์ มหิศเรศรังสรรค์ มหันตรวรเดชโชไชย มโหฬารคุณอดุลย สรรพเทเวศรานุรักษ บวรจุลจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อิศวรราชรามวรังกูร บรมมงกุฎนเรนทร สูรยโสทรานุชาธิบดินทร เสนางคนิกรินทร บวราธิเบศร พลพยุหเนตรนเรศวร มหิทธิวรนายก สยามาทิโลกดิลกมหาบุรุษรัตนไพบูลยพิพัฒนสรรพศิลปาคม สุนทรโรดมกิจโกศล สัตปดลเสวตรฉัตร ศิริรัตนบวรมหาราชาภิเศกาภิสิต สรรพทศทิศพิชิตไชยอุดมมไหสวริยมหาสวามินทร สเมกธรณินทรานุราช บวรนารถชาติอาชาวศรัย ศรีรัตนไตรสรณารักษ์ อุกฤษฐศักดิสรรพรัษฎาธิเบนทร ปวเรนทรธรรมมิกราชบพิตร พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”

 

รัชกาลที่4 เป็นผู้เชี่ยวชาญในโหราศาสตร์อย่างมาก และเชื่อในโหราศาสตร์อย่างมากเช่นกัน เมื่อผูกดวงชะตาแล้วพบว่า พระปิ่นเกล้ามีดวงชะตาแรงมาก ต้องได้เป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าท่านขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เองแต่ผู้เดียว ก็เท่ากับไปฝืนชะตา จึงต้องหาทางแก้เคล็ดด้วยการยกท่านขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์คู่กัน

สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ พระชะตาแรงจนประวัติศาสตร์ต้องจารึก เมื่อประเทศไทยมีพระเจ้าแผ่นพระองค์ที่2 รำลึกที่มาวันฉัตรมงคล ในสมัย ร.4

(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว)

 

พระราชพิธีฉัตรมงคลและวันบรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

 

พระราชพิธีฉัตรมงคลในอดีตถือเป็นพิธีของเจ้าพนักงานในพระราชฐาน ที่มีหน้าที่รักษาเครื่องราชูปโภคและพระทวารประตูวัง ได้จัดการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนรักษาทุกปีในเดือนหก และเป็นงานส่วนตัว ไม่ถือเป็นงานหลวง

 

จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงกระทำพระราชพิธีฉัตรมงคลขึ้นเป็นครั้งแรกในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2394 โดยมีพระราชดำริว่า

 

"วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัยที่ควรแก่การเฉลิมฉลองในประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดิน จึงถือให้วันนั้นเป็นวันนักขัตฤกษ์มงคลกาล และควรที่จะมีการสมโภชพระมหาเศวตฉัตรให้เป็นสวัสดิมงคลแก่ราชสมบัติ"

 

แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่ยากต่อการเข้าใจ อีกทั้งเผอิญที่วันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่องราชูปโภคที่มีแต่เดิม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงอธิบายว่า วันฉัตรมงคลเป็นวันสมโภชเครื่องราชูปโภค จึงไม่มีใครติดใจสงสัย

ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าวันฉัตรมงคล เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

อธิบายง่ายๆคือเป็นการรวม 2 งานเข้ามาในวันเดียวกันคือ ฉัตรมงคล+บรมราชาภิเษก

ซึ่งในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนั้น พระองค์ได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า

"พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "

พร้อมกันนี้ทรงสถาปนา

•สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์

ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า-พระมหาอุปราช) มีพระราชพิธีบวรราชาภิเษก และทรงรับพระบวรราชโองการ ให้พระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า

“พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว”

•พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส

ขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) ทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็นสมเด็จพระสังฆราชเพียงพระองค์เดียวในรัชสมัย

สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

ข่าวโดย : ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ - ทีนิวส์)