- 06 พ.ค. 2560
ติดตามต่อที่ http://www.tnews.co.th/
ในสมัยที่ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำ ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการรวบรวมคำเทศนาของหลวงพ่อไว้เป็นหนังสือชื่อ “ฤๅษีทัศนาจร” ซึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาหลายเล่มหลายตอน โดยในเล่มที่ ๑ ตอน ”เทวดาชวนขุดทอง”
โดยได้มีการคำทำนายสอดแทรกไว้ และมีการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดในรัชกาลที่ ๑๐ ว่าจะมีผู้ใดมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่๑๐ และจะมีเหตุการณ์ใดที่บ้างดังเนื้อหามีข้อความได้บันทึกไว้ดังนี้…
“…เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศีกดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ – ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า
“นี่…พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน”
เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ…ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก)
แกก็เลยบอกว่า “เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง”
ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า “มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม?” แกก็เลยบอกขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ ก็เลยบอกว่า
“นี่…แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น”
เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า “อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ”
ทั้งนี้เพราะอะไร “เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้ แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์ มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ”
เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า “โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ” เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน ก็เลยถามต่อไปว่า การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฎ
และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน เขาก็บอกว่า ใหญ่ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น คณะเขาเอง เขาก็มีความเคารพ ก็เลยถามว่า
“เออ…ดีแล้ว เมื่อพูดถึงพระทั้งหลายเหล่านั้น เราอยากจะถามว่า มีพระองค์ไหนเป็นพระอรหันต์ มีบ้างหรือไม่”
เขาก็ยกมือขึ้นแตะปาก บอกว่ามี แต่ว่าพูดไม่ได้ ก็เลยบอกว่า ปากของแกมีนี่ ทำไมแกพูดไม่ได้ แกก็เลยชี้มือมาที่ปากของคนพูด…ของลิงน่ะ ชี้มือมาที่ปากของจอมลิง เขาบอกว่า “แกก็รู้นี่” อ้าว…นั่น เทวดานี่ใช้วาจาหยาบเหมือนกัน บอกแกก็รู้นี่ แกทำไมจะมาถามข้าล่ะ ก็เลยถามเขาว่า “นี่…แกมาเรียกฉันว่า แกข้านี่มันเรื่องอะไร”
ตาเทวดาคนนี้แกเป็นเทวดาใหญ่ ประดับกายไปด้วยเพชรนิลจินดาแพรวพราวเต็มไปทั้งตัว แกก็เลยบอกว่า “นี่…จำกันไม่ได้ นี่เรามันเพื่อนกันนี่” (เอาแล้ว…นี่เป็นเพื่อนกับหมาไม่พอ ดันมาเป็นเพื่อนกับผีเข้าอีก) ก็เลยบอกว่า “นี่…อย่าพูดไปซีน่ะ รู้แล้วอย่าพูดไปนะ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ใช่ไม๊ รู้รึเปล่า” เขาบอกเขารู้ เขาก็เลยบอกว่า “ก็ไอ้ท่านล่ะ ท่านรู้แล้วท่านพูดไปทำไม”
บอกว่า “ข้าพูดกับแก แกมันเป็นผีนะ แล้วแกจะเสือกจับใครเขาพูดเรื่องราวของข้าไม่ได้นะ ข้ามันเป็นลิงจัญไรอยู่แล้ว ให้เขาทราบแต่เพียงว่า ในฐานะลิงจัญไรเท่านั้นก็พอ” เขาว่า “เวลานี้พระเจ้าที่เขาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีใครเขาอยากคบข้านักหรอก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าข้าปฏิบัติตนไม่เหมือนเขา บางสำนักเขาตั้งเป็นสำนักวิปัสสนา หัวขาวตาขาวเป็นน้ำข้าว มีตำแหน่งหน้าที่เป็นพระราชาคณะ มีตำแหน่งหน้าที่ควบคุมพระ เขาหาว่าข้าเลวกว่าหมาเสียอีก”
ตาพวกนั้นหัวเราะชอบใจใหญ่ ก็เลยบอกว่า “ท่านไม่ต้องบอกหรอก ผมรู้ ดูบัญชีผมซี่” แล้วก็เกิดเปิดบัญชีให้ดู ถามว่า “ไอ้นี้บัญชีทองหรือยังไง หรือว่าบัญชีเพชรที่มันฝังอยู่ใต้ดิน จะได้รวบรวมกำลังบรรดาท่านที่มาด้วยกันหาทุนหารอนมาขุดให้มันรวย”
เขาก็หัวเราะชอบใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “ไอ้ฤาษี อย่างท่านนี่มันชอบโกหกแม้กระทั่งผี ก็ทรัพย์สินส่วนตัวของท่านมีนี่ ที่ท่านบิดาบอกให้ ทำไมไม่ไปขุดเล่า” ก็เลยบอกเขาว่า “ข้าจะไปขุดทำไม เวลานี้ข้าสบายนี่ นี่ข้ามานี่ ข้าก็ไม่ได้เสียสตางค์ค่ารถนะ แล้วก็ไอ้ค่าอาหารการบริโภค ข้าก็ไม่เสีย บรรดาคนดีเขามีจิตเป็นกุศล เขาสงเคราะห์เจ้าฤาษีลิงดำตัวจน ๆ เขาหาให้กิน เขาหาให้ใช้ เขาจัดพาหนะให้ แล้วข้าจะไปขุดทำไม ขุดมาเมื่อไรข้าก็ตายเมื่อนั้น”…
พระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เดิมชื่อสังเวียน เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ เกิดที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพี่น้อง ๕ คน เมื่ออายุ ๖ ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ ๔ เมื่ออายุ ๑๕ ปี เข้ามาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้น และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ อายุ ๑๙ ปี เข้าเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ พออายุครบบวช
อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดบางนมโค โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิหารกิจจานุการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อายุ ๒๑ ปี สอบได้นักธรรมตรี อายุ ๒๒ ปี สอบได้นักธรรมโท อายุ ๒๓ ปี สอบได้ นักธรรมเอก
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสโร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
ที่มา: ฤาษีทัศนาจร (เล่ม ๑) โดย..พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)






