46ปีแห่งความกตัญญูที่โลกต้องจารึก! "เจ้าคุณนรฯ" สละสิ้นทุกทรัพย์สมบัติ ครองสมณเพศจนมรณภาพ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ให้แก่ในหลวงรัชกาลที่๖

ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

46ปีแห่งความกตัญญูที่โลกต้องจารึก! "เจ้าคุณนรฯ" สละสิ้นทุกทรัพย์สมบัติ ครองสมณเพศจนมรณภาพ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ให้แก่ในหลวงรัชกาลที่๖

พระอรหันต์กลางกรุง เจ้าคุณนรฯ

ท่าน ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า " เจ้าคุณนรฯ" หรือพระยานรรัตนราชมานิต เป็นผู้มีความกตัญญูสูงสุด มีสัจจะมั่นคง มีขันติวิระยะแรงกล้า มีเมตตา และทรงคุณธรรมอันประเสริฐ สามารถปฏิบัติธรรมสำเร็จผลสูงสุด ท่านจึงเป็นแบบอย่างที่ดีให้นสาธุชนได้เคารพกราบไหว้สักการะบูชา ในฐานะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และปฏิบัติออกจากทุกข์โดยแท้จริง

โดยหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเอง เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับ “เจ้าคุณนรฯ” ซึ่งได้เล่าถึง “เจ้าคุณนรฯ” ไว้ดังนี้..

"ผมเพิ่งได้ทราบข่าวเดี๋ยวนี้เองว่า พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ได้มรณภาพเสียแล้วที่วัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 14 เมื่อเวลาหลังเพลเล็กน้อย

 

นามฉายาของท่านคือ ธมมวิตกโก ภิกขุ

 

ความจริงพระภิกษุมรณภาพเพียงรูปเดียวเมื่ออายุท่านได้ 74 ปี ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นอะไรนัก แต่บังเอิญชีวิตของท่านและการปฏิบัติธรรมของท่านในภิกขุภาวะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นธรรมอันดีที่ควรส่งเสริมบางอย่าง ผมจึงเขียนถึงท่านไว้ในที่นี้

 

ผมเคยรู้จักเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อผมยังเป็นเด็กเล็ก คิดดูเดี๋ยวนี้ก็เห็นจะห้าสิบกว่าปีมาแล้ว

 

ตอนนั้นท่านอายุ 20 กว่า เป็นพระยาและได้สายสะพานแล้วด้วย

 

ท่านรับราชการกรมมหาดเล็กหลวง และมีตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐาน และเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กพระบรรทมคนอื่น ๆ ซึ่งมีอยู่หลายคน

 

เจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่หอวัง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องเข้าไปรับราชการในกรมมหาดเล็กเพื่อศึกษาราชการตามระเบียบ ก่อนที่จะไปรับราชการกรมกองอื่น ๆ

 

 

แต่เจ้าคุณนรรัตนฯ คิดอยู่ที่กรมมหาดเล็กและอยู่ที่ห้องพระบรรทมอยู่จนตลอดรัชกาล

 

 

 

 

ความจำของเด็กเล็ก ๆ ซึ่งบัดนี้แก่แล้วจะต้องกระจัดกระจายเป็นธรรมดา ต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมนึกออกเกี่ยวกับเจ้าคุณนรรัตนฯ

 

ครั้งหนึ่งเห็นท่านกำลังติดพระตรากับฉลองพระองค์ ซึ่งสวมไว้กับหุ่นช่างตัดเสื้อ ท่านติดจนเสร็จแล้วท่านก็ถอยออกมานั่งดูอยู่นาน ไม่พูดจากับใคร

 

อีกครั้งหนึ่งเห็นท่านนั่งชุนกางเกงจีนเก่า ๆ ของใครอยู่ เสือกเข้าไปถามท่านตามวิสัยของเด็กทะลึ่ง ว่าท่านชุนกางเกงของท่านเองหรือ

 

ท่านบอกให้ผมลงกราบกางเกงที่ท่านกำลังชุนอยู่นั้น แล้วบอกว่าเป็นพระสนับเพลาจีนของพระเจ้าอยู่หัว

 

แล้วท่านก็บ่นอุบอิบอยู่ในคอว่า เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ชอบนุ่งกางเกงขาด ๆ เก่า ๆ อย่างนี้แหละ หาใหม่ให้ก็ไม่เอา ครั้นจะปล่อยให้นุ่งกางเกงขาดก็ขายหน้าเขา

 

จำได้ว่าเวลาท่านพูดกับเด็กอย่างผมแล้วท่านใช้วาจาหยาบคายสิ้นดี พูดมึงกูไม่เว้นแต่ละคำ

 

แต่ท่านมีทอฟฟี่แจก เด็กก็เมียงเข้าไปบ่อย ๆ

 

เด็กที่วิ่ง ๆ อยู่ในวังสมัยนั้นมีมาก และบางคน (อย่างผม) ก็เป็นเด็กที่ซุกซนขนาดเหลือขอจริง ๆ ทีเดียว บางครั้งเข้าไปซุกซนใกล้ที่ประทับจนถูกกริ้วต้องพระราชอาญา มีรับสั่งให้เจ้าคุณนรรัตนฯ เอาไปตีเสียให้เข็ด

 

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ลากตัวเข้าไปในห้องซึ่งอยู่ใกล้ที่ประทับ แล้วเอาไม้เรียวซึ่งเตรียมไว้แล้วมาหวดซ้ายป่ายขวาลงไปกับเก้าอี้บ้างกระดานบ้างให้มีเสียงดัง

 

ร้องให้ดัง ๆ นะมึง ไม่ร้องพ่อตีตายจริง ๆ ด้วยเอ้าเด็กก็ร้องจ้าขึ้นมา

 

และก็จะได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากที่ประทับทันที

 

พอที ข้าสั่งให้ตีสั่งสอนมันเพียงหลาบจำ เอ็งตีลูกเขาอย่างกับตีวัวตีควาย ลูกเขาตายไปข้าจะเอาที่ไหนไปใช้เขา

 

เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็กระซิบบอกเด็กว่า ไหมล่ะ !

 

เด็กก็พ้นพระราชอาญาเพียงแค่นั้น และความรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณก็จะติดอยู่ในตัวในใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่มีวันที่จะลืมเลือนได้

46ปีแห่งความกตัญญูที่โลกต้องจารึก! "เจ้าคุณนรฯ" สละสิ้นทุกทรัพย์สมบัติ ครองสมณเพศจนมรณภาพ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ให้แก่ในหลวงรัชกาลที่๖

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อุปสมบทหน้าพระเพลิง อย่างที่สามัญชนเรียกว่า บวชหน้าไฟ

 

และท่านก็ได้ครองสมณเพศตลอดจนจนถึงมรณภาพ

 

เป็นเวลา 46 ปีเต็ม

 

สี่สิบหกปีแห่งความกตัญญูอันมั่นคงหาที่เปรียบได้ยาก

 

ความจริงเมื่อเสด็จสวรรคตนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ มีทั้งฐานะ ทั้งทรัพย์ และโอกาสที่จะหาความเจริญในโลกต่อไปอย่างพร้อมมูล

 

ในทางชีวิตครอบครัวท่านก็มีคู่หมั้นอยู่แล้ว

 

แต่ท่านก็ได้สละสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดออกอุปสมบท และอยู่ในสมณเพศตลอดชีวิต เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งมีพระคุณแก่ท่าน

 

นับว่าเป็นตัวอย่างแห่งความกตัญญูซึ่งควรจะจารึกไว้

 

เมื่ออยู่ในสมณเพศนั้น เจ้าคุณนรรัตนฯ ฉันอาหารวันละหนเท่านั้น

 

อาหารที่ท่านฉัน มีข้าวสุก มะพร้าว กล้วย เกลือ มะนาว และใบฝรั่ง

 

ท่านลงไปโบสถ์ทำวัตรเช้าและเย็นวันละสองครั้ง ไม่เคยขาด จนมรณภาพ

 

ดูเหมือนจะขาดอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตและเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทร์อยู่สั่งให้อยู่ที่กุฏิเพราะท่านอาพาธ

 

ท่านเป็นพระที่สงบสงัดจากโลกแล้ว ไม่เคยโด่งดัง แม้แต่ธรรมที่ท่านได้แสดงไว้เมื่อพิมพ์แล้ว ก็ได้เป็นสมุดเล่มเล็ก ๆ มีเนื้อความเพียง 22 หน้ากระดาษและแบ่งออกเป็นเรื่องสั้น ๆ ได้ 8 บท

 

บทที่ 7 นั้นมีเพียงเท่านั้น แต่ก็ขอให้ท่านอ่านเอาเองเถิดว่าเป็นความจริงเพียงไร และน่าประทับใจเพียงไร

 

 

 

7. อานุภาพของไตรสิกขา

 

ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้ !

 

1. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ด้วยศีล

ชนะความยินดียินร้ายหลงรังหลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ

ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยปัญญา

 

2.ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามตามไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูลบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย !

 

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ ทุกเมื่อเทอญ

 

 

 

ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว

 

ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า

 

เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ

 

ท่านดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า

 

ไอ้บ้า

 

"หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช"

46ปีแห่งความกตัญญูที่โลกต้องจารึก! "เจ้าคุณนรฯ" สละสิ้นทุกทรัพย์สมบัติ ครองสมณเพศจนมรณภาพ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ให้แก่ในหลวงรัชกาลที่๖