- 15 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
สยามสมัยโบราณนั้นมักจะนิยมให้ลูกหลานไว้ผมจุกตามคติความเชื่อและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งเมื่อเห็นเด็กหัวจุกก็จะทำให้ทราบทันทีว่ายังเป็นเด็กอยู่ แต่เมื่อมีอายุประมาณ 11-13 ปี ก็จะกระทำโกนจุกเพื่อเด็กเหล่านั้นจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นนั่นเอง พิธีโกนจุกนั้นถือเป็นพิธีมงคลตามแบบโบราณที่มีการสืบทอดต่อๆกันมา โดยเฉพาะพิธีในวังหลวง การโกนจุกของพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าอยู่หัวจะใช้คำว่า พระราชพิธีโสกันต์ ซึ่งจะมีระเบียบแบบแผนที่ค่อนข้างละเอียด จัดขึ้นหลายวันเป็นพระราชพิธีที่สำคัญจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ทางด้านของราชสำนัก"พระราชพิธีโสกันต์"เป็นชื่อเรียกพิธีโกนจุก ของพระราชโอรส-ธิดาของพระเจ้าอยู่หัวและเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า ส่วนเจ้านายชั้นหม่อมเจ้าจะเรียกว่า"พิธีเกศากันต์" โดยพิธีการนี้ ถือเป็นพิธีมงคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของเด็กไทยในสมัยนั้น เมื่อเด็กมีอายุครบตามกำหนด โหรหลวงจะดูฤกษ์ยาม เพื่อกำหนดวันเวลาที่จะเริ่มพระราชพิธีโสกันต์ จะมีทั้งพิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์พร้อมกัน ส่วนใหญ่มักจะประกอบ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มักจะประกอบพิธีนี้ร่วมกับพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์(พิธีตรุษไทย) ซึ่งต่อมาจะประกอบร่วมกับ พระราชพิธีตรียัมปวาย(โล้ชิงช้า)
ตามประวัติศาสตร์แล้ว ในกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระราชพิธีโสกันต์หลายครั้ง แต่พระราชพิธีโสกันต์ครั้งยิ่งใหญ่ครบถ้วนทุกอย่างเหมือนกรุงศรีอยุธยาเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก คือในพระราชพิธีโสกันต์ "สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี" พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติแต่เจ้าหญิงทองสุก ธิดาพระเจ้ากรุงศรีสตนาคนหุต
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเพราะผู้ปกครองในปัจจุบันไม่นิยมให้บุตรธิดาไว้ผมจุกตามกระแสภาวะในปัจจุบัน เช่นเดียวกับราชสำนักในปัจจุบันก็ไม่นิยมที่จะให้เจ้านายองค์น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าลูกเธอจนถึงหม่อมเจ้าไว้จุกกันอีกแล้ว พระราชพิธีนี้จึงเป็นเพียงพระราชพิธีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ที่ไม่มีวันจะหวนคืนกลับมาอีกในราชสำนัก โดยงานโสกันต์ครั้งสุดท้ายในราชสำนักก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองคือ พิธีโสกันต์พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา พระธิดาในสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
ที่มาจาก : เพจ คลังประวัติศาสตร์ไทย






