- 30 พ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
๓๐ พฤษภาคม เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ จากคลิป "พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่๗ ) และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ขณะเสด็จเยือนต่างประเทศ" แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของสยามประเทศและต่างประเทศ ร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
ในต้นรัชสมัยได้ทรงดำเนินกิจการสำคัญที่ทรงเกี่ยวข้องกับต่างประเทศที่ค้างมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้สำเร็จลุล่วงไป เช่น การให้สัตยาบันสนธิสัญญาต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทรงทำสัญญาใหม่ ๆ กับประเทศเยอรมนีหลังสถาปนาความสัมพันธ์ขั้นปกติ เมื่อ พ.ศ. 2471 และทำสนธิสัญญากับประเทศฝรั่งเศสเกี่ยวกับดินแดนในลุ่มแม่น้ำโขง เรียกว่าสนธิสัญญาอินโดจีน พ.ศ. 2469 โดยกำหนดให้ มีเขตปลอดทหาร 25 กิโลเมตร ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขงแทนที่จะมีเฉพาะฝั่งสยามแต่เพียงฝ่ายเดียว
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ทรงริเริ่มการเสด็จเยือนต่างประเทศทั้งในทวีปเอเชียและยุโรปทั้งอย่างเป็นทางการและเป็นการส่วนพระองค์แล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศด้วยพระราชประสงค์เช่นเดียวกับพระราชบิดาคือ เสด็จไปเจริญพระราชไมตรีกับต่างประเทศกับการเสด็จไปรักษาพระวรกายของพระองค์ มิเพียงแต่เท่านั้นยังทรงขยายเส้นทางไปสู่อินโดจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา และทุกครั้งยังมีสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จเคียงคู่เสมอ ในระยะเวลา ๙ปีแห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็พระนางเจ้ารำไพพรรณีฯได้เสด็จประพาสต่างประเทศรวม ๔ ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ ๑ ในปีที่ ๕ ของการครองราชสมบัติ พ.ศ. ๒๔๗๒
ระหว่างวันที่ ๓๑กรกฎาคม – ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๒พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯเสด็จพระราชดำเนินเยือนสิงคโปร์ ชวา และบาหลี ซึ่งขณะนั้นอยู่ในการปกครองของประเทศอังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ทั้งนี้เพื่อเจริญทางพระราชไมตรีและทอดพระเนตรภูมิสถานบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศเหล่านั้น
ครั้งที่ ๒ ในปีที่ ๖ ของการครองราชสมบัติ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๓
ระหว่างวันที่ ๖ เมษายน – ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ พระบาทสมเด็พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯเสด็จพระราชดำเนินเยือนอินโดจีน (เฉพาะส่วนที่เป็นประเทศเวียดนาม และกัมพูชาปัจจุบัน)ซึ่งขณะนั้นอยู่ในการปกครองของประเทศฝรั่งเศส
ครั้งที่ ๓ ในปีที่ ๗ ของการครองราชสมบัติ
ระหว่างวันที่ ๖ เมษายน – ๒๘กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่นสหรัฐอเมริกา และแคนาดา การเสด็จฯครั้งนี้นอกจากเพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศแล้วยังเพื่อรักษาพระเนตรที่สหรัฐอเมริกาด้วย เป็นเวลานานถึง ๓ เดือนเต็ม และในพระราชวโรกาสที่เสด็จฯถึงกรุงวอชิงตันเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๔ นั้นเอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ แสดงพระราชประสงค์จะทรงจำกัดพระราชอำนาจของพระองค์ และพระราชทานอำนาจนั้นแก่ราษฎรในการปกครองประเทศในรูปแบบเทศบาลขึ้นก่อนเพื่อเป็นฐานก้าวไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในโอกาสต่อไป
ครั้งที่ ๔ ในปีที่ ๘- ๙ ของการครองราชสมบัติ และ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองพ.ศ.๒๔๗๕ แล้ว
ทั้งสองพระองค์เสด็จประพาสยุโรป ๙ ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี วาติกัน อังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนีเบลเยี่ยม เชคโกสโลวาเกีย ฮังการีและสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแตวันที่ ๑๒ มกราคมพ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อกระชับสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ และเพื่อทรงรักษาพระเนตรอีกครั้งในประเทศอังกฤษจนกระทั่งถึงวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ อันเป็นวันสละราชสมบัติที่ประเทศอังกฤษ
อาจสรุปได้ว่าการเสด็จฯ ทั้ง ๔ ครั้งของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นไปเพื่อการเจริญสัมพันธไมตรี การทอดพระเนตรความเจริญของต่างประเทศเพื่อนำมาประยุกต์ในการพัฒนาประเทศสยามสืบต่อจากการปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่๕ อนึ่ง การเสด็จไปรักษาพระสุขภาพโดยการผ่าตัดพระเนตร ครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาในพ.ศ. ๒๔๗๔ และรักษาพระเนตรครั้งที่ ๒และรักษาพระทนต์ในประเทศอังกฤษ พ.ศ. ๒๔๗๖
ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้งสองพระองค์ในต่างประเทศทั้ง๔ ครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีทรงเคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งการเสด็จประพาสในประเทศ ภูมิภาคต่างๆทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ต้องเสด็จสวรรคต ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อ วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔






