- 17 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
จากกรณีในโลกโซเชียลกับกรณีบูรณะพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งนับว่า เป็นโบราณสถานที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำกรุงเทพมหานคร และนอกจากนี้พระปรางค์วัดอรุณฯ นี้เป็นโบราณสถานที่สำคัญในอดีต นอกจากนี้มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามพร้อม ซุ้มเหนือบานประตูทางเข้าพระปรางค์ทั้งด้านนอกและด้านในเป็นลายปูนปั้นลงสี ทำเป็น รูปพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕
สำหรับรูปพระราชลัญจกรประจำพระองค์ในรัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๕ ที่ติดอยู่ตรงด้านนอกและด้านใน ซึ่งพระราชลัญจกรประจำรัชกาล เป็นตราประจำพระองค์ของพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อเริ่มต้นรัชกาล เพื่อประทับกำกับพระปรมาภิไธย ในเอกสารสำคัญต่างๆ ของชาติ ที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา และเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ ที่ไม่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน พระราชลัญจกรนับเป็นเครื่องมงคลที่แสดงถึงอิสริยยศและพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์
ซุ้มเหนือบานประตูเหนือเก๋งจีนเป็น "รูปอุณาโลมอยู่ในกลีบบัว" ประจำรัชกาลที่ ๑
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑ เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ "อุ" แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็น พฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต (สังข์เวียนขวา) อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘
ที่รั้วด้านตะวันออกหน้าพระปรางค์มี ๓ ประตู ซุ้มเหนือบานประตูที่อยู่เหนือโบสถ์น้อยเป็น ทำด้วยเหล็ก ที่รั้วลูกกรงเหล็กทาสีแดง "รูปครุฑจับนาค" ประจำรัชกาลที่ ๒
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ฉิม" ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวกำเนิด เป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี ดังนั้นทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
ประตูใต้เก๋งจีนเป็น รูปอุณาโลมอยู่ในปราสาท ประจำรัชกาลที่ ๓
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "ทับ" หมายความว่า ที่อยู่ หรือเรือน ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
ประตูข้างใต้พระวิหารน้อยเป็น "รูปพระมงกุฎ" ประจำรัชกาลที่ ๔ นอกจากนี้ พระมหามงกุฏเหนือนภศูลยอดพระปรางค์ นั้น รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนทั้งหลายเข้าใจโดยนัยว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฏ (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๔) จะเป็น “ยอดของแผ่นดิน” หมายถึงจะเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๔ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระมหามงกุฎ ลักษณะเป็นรูปกลมรี ลายกลางเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "มงกุฎ" ซึ่งเป็นศิราภรณ์สำคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ในเครื่องเบญจราชกุธภัณฑ์ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้างที่ริมขอบทั้งสองข้าง มีพานทองสองชั้นวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง สมุดตำราข้างหนึ่ง รูปพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรนี้มาจากฉายาเมื่อผนวชว่า "วชิรญาณ" ส่วนสมุดตำรามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเชี่ยวชาญในทางอักษรศาสตร์และดาราศาสตร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง ๕.๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๘ เซนติเมตร
ประตูกลางระหว่างโบสถ์น้อยและวิหารน้อยเป็น รูปพระเกี้ยว ประจำรัชกาลที่ ๕
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๕ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยวยอด ลักษณะเป็นรูปพระจุลมงกุฎ (หรือพระเกี้ยว) เปล่งรัศมีประดิษฐ์บนพานแว่นฟ้า เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลความหมายว่าเป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าและพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรและสมุดตำรานั้น เป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง ๕.๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๘ เซนติเมตร
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นพระราชลัญจกรประจำรัชกาลของทั้ง ๕ รัชกาล ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นประติมากรรมของพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร สร้างความงดงามล้ำค่า เป็นสัญลักษณ์ แห่งยอดแผ่นดิน สัญลักษณ์ของประเทศไทยที่สวยที่สุด ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
"พระปรางค์องค์นี้เป็นที่ระลึกสำหรับชาติ ซึ่งจำเป็นจะต้องปฏิสังขรณ์ไว้ให้ถาวร"
ที่มาจาก : http://www.dhammajak.net
https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชลัญจกรประจำรัชกาล






