กราบน้อมรำลึก..วันละสังขาร ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ครบรอบ ๕ ปี "หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร" เกจิดังผู้เมตตาแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี..

ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมาย ได้ที่ http://www.tnews.co.th

ประวัติ

พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เกษม (อั๊บ ) เขมจาโร

พระอธิการ หลวงปู่เกษม ( อั๊บ ) เขมจาโร

อดีต เจ้าอาวาสวัดท้องไทร ตำบลแหลมบัว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

หลวงปู่ท่านมีนามเดิมว่า เกษม ทิมมัจฉา ( อั๊บ )

เกิดเมื่อ วันจันทร์ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีจอ

บิดาชื่อ อุ๋ย มารดาชื่อ ผิว

อาชีพ เกษตรกร จบการศึกษา ชั้น ป. ๒

หลวงปู่อั๊บมีพี่น้องร่วมบิดา ทั้งหมด ๑๑ คน แต่ต่างมารดา หลวงปู่เป็นพี่คนโตซึ่งเกิดกับมารดาชื่อว่า ( ผิว ) ต่อมามารดาของท่านได้เสียชีวิตลงตั้งแต่หลวงปู่ยังเล็ก และต่อมาบิดาของท่านได้มีภรรยาใหม่ชื่อว่า (หมาเล็ก ) และท่านได้ให้กำเนิดบุตรอีก ๑๑ คน ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องๆของหลวงปู่ที่มีบิดาร่วมสายเลือดแต่ต่างมารดากัน เท่ากับว่าหลวงปู่ ( อั๊บ ) เป็นบุตรคนเดียวที่เกิดกับบิดาอุ๋ยและมารดาผิว ส่วนพี่น้องอีก ๑๑ คนเป็นพี่น้องต่างมารดากัน

ในวัยเด็กท่านได้ไปพักอยู่กับน้าชาย ชื่อพระเล็ก ที่วัดกลางบางแก้ว อ. นครชัยศรี จ. นครปฐม ซึ่งขณะนั้นมีพระพุทธวิถีนายก ( หลวงปู่บุญ ขัญธโชติ ) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งหลวงปู่บุญท่านนี้ เป็นพระที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ยังให้ความเคารพ หลวงปู่อั๊บเล่าว่าตอนท่านเป็นเด็กวัดนั้นยังได้เคยรับใช้บีบนวด หลวงปู่บุญอยู่บ่อยครั้ง เพื่อนเด็กวัดรุ่นเดียวกันนั้นมีอยู่คนหนึ่ง ต่อมาภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์และได้ทำคุณประโยชน์ให้กับการศึกษาทั้งทางโลกและศาสนาอย่างมากมาย คือพระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมจารย์ ( ท่านเจ้าคุณปัญญา ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง นั่นเอง ฯ

* พระเล็กพระน้าชายนั้น บวชที่วัดใหม่สุคนธาราม อ. นครชัยศรี จ. นครปฐม และได้ย้ายไปจำพรรษาหลายวัด เช่น วัดห้วยตะโก , วัดปลักแรต , วัดหนองบัว , วัดกลางบางแก้ว เป็นต้น บวชเป็นพระอยู่ถึง ๑๘ พรรษา จึงลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตฆราวาสมีครอบครัวอย่างชาวโลกทั่วไป. นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวิชา - อาคมขลังคนหนึ่ง

* ในปีที่หลวงปู่บุญ มรณภาพลงนั้นตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๗๘ หลวงปู่อั๊บมีอายุ ๑๓ ปี

เมื่อหลวงปู่บุญมรณภาพลงแล้ว หลวงปู่เกษม ( อั๊บ ) ได้กลับไปอยู่กับบิดา - มารดา ที่บ้านท้องไทร ช่วยกิจการงานบ้าน - ทำนา อย่างขยันขันแข็ง จนอายุครบ ๒o ปีบริบูรณ์ จึงได้เข้าทำการอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดทุ่งน้อย ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยในสมุดใบสุทธิของหลวงปู่อั๊บได้บันทึกไว้ดังนี้…..

นามเดิม เกษม นามสกุล ทิมมัจฉา

วิทยาฐานะ ป.๒ อาชีพ เกษตรกร

เชื้อชาติ ไทย สัญชาติ ไทย

สัณฐาน สันทัด สีเนื้อ ดำ - แดง

ตำหนิ นิ้วกลางขวา

บิดา อุ๋ย มารดา ผิว

เกิด ๒ฯ๑๕๙ ปีจอ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๔๖๕

ชื่อ พระอุปัชฌาย์ พระอธิการมา วัดทุ่งน้อย

พระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการฮะ วัดโคกเขมา ( อ่าน โคก - ขะ - เหมา )

พระอนุสาวนาจารย์ พระอธิการพลัด วัดท้องไทร

อุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๕ เวลา ๑๕.๑๘ น. ณ วัดทุ่งน้อย

ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม หลังจากอุปสมบทแล้วได้กลับมาอยู่ที่วัดท้องไทร

กราบน้อมรำลึก..วันละสังขาร ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ครบรอบ ๕ ปี "หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร" เกจิดังผู้เมตตาแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี..

หลวงปู่อั๊บ

เมื่อบวชได้ ๓ พรรษา ได้เดินเท้าไปวัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี เพื่อไปหาพระเล็กและพระน้าชาย ซึ่งขณะนั้นได้ไปพักจำพรรษาอยู่ที่นั่น วัดหนองบัวขณะนั้นมีหลวงปู่เหรียญ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ หลวงปู่เหรียญท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ยิ้ม อดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อนซึ่งมีวิชาอาคมเก่งกล้าเป็นยิ่งนัก แม้แต่หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่าซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ร่วมสมัยกันยังเกรงใจในวิชาของหลวงปู่ยิ้ม และยังเคยเดินทางมาพักที่วัดหนองบัวด้วย ส่วนพระสหธรรมมิกอีกรูปหนึ่งที่สำคัญของหลวงปู่ยิ้มคือ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ในหนังสือประวัติวัดหนองบัวบันทึกไว้ว่า ในวันที่เผาศพหลวงปู่ยิ้มนั้นไม่สามารถเผาร่างสังขารของท่านได้ จนต้องนิมนต์หลวงปู่บุญขึ้นไปทำพิธี จึงสามารถเผาศพของท่านติดไฟได้ นับว่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก

หลวงปู่อั๊บท่านเล่าว่า อยากจะเรียนวิชากับหลวงปู่เหรียญ แต่พระน้าชายไม่ยอมให้เรียน ในขณะขอที่พักอยู่ที่วัดหนองบัวประมาณ ๒ เดือนนั้น ได้มีชาวบ้านนำพระเนื้อดินเผามาถวายท่าน เป็นพระที่หลวงปู่ยิ้มได้สร้างไว้แล้วได้นำไปบรรจุไว้ตามในถ้ำในเขตหนองบัว เป็นพระเนื้อดินเผา มีหลายพิมพ์ เช่น พิมพ์ยืนประทานพร , พิมพ์ขุนแผนซุ้มเรือนแก้ว , พิมพ์ปางมารวิชัย , พิมพ์สมเด็จ ๓ ชั้นหูบายศรี , พิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์ , พิมพ์สมเด็จ ๓ ชั้น , พิมพ์สมเด็จ ๗ ชั้น เป็นต้น

เมื่อท่านกกลับวัดท้องไทร ก็ได้นำพระเหล่านี้กลับมาด้วย บางส่วนท่านได้แจกให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดไปพอประมาณ เมื่อมีผู้นำไปบูชาแล้วได้พบกับอภินิหารมากมายท่านจึงได้นำขึ้นไปเก็บที่ห้องพระบนกุฏิท่านไม่ได้ออกมาอีก

หลังจากที่ท่านกลับจากวัดหนองบัวมาอยู่ที่วัดท้องไทรแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อน้อยวัดธรรมศาลา เพื่อขอเรียนวิชาต่างๆ หลวงพ่อน้อยท่านนี้เป็นพระที่มีความเก่งกล้าในวิทยาคมเป็นยิ่งนัก วาจาของท่านเป็นประกาศิตพูดสิ่งใดมักเป็นสิ่งนั้น ( แม้แต่หลวงพ่อเงินให้ความเคารพนับถือ ) ซึ่งหลวงพ่อน้อยท่านนี้ก็เมตตาถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้อย่างไม่ปิดบัง พร้อมทั้งได้มอบตำรายันต์พระเวทย์ ( วัดดอนยายหอม ) ให้กับหลวงปู่อั๊บมา ๑ เล่ม เป็นตำรายันต์ลายมือหลวงพ่อน้อย มีบางส่วนที่เป็นลายมือพระตุ๋ยลูกศิษย์หลวงพ่อน้อย พระตุ๋ยนี่ต่อมาได้ลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตฆราวาส แต่หลวงพ่อน้อยท่านยังเรียกไปช่วยเขียนอักขระเลขยันต์อยู่บ่อยๆ เพราะเขียนอักขระยันต์ได้สวยงามดี นับได้ว่าหลวงพ่อน้อยท่านเป็นครูอาจารย์ที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งของหลวงปู่อั๊บเลยทีเดียว

ในช่วงระยะเวลานี้ท่านเล่าว่าเมื่อมีเวลาว่าง ได้เดินทางไปกราบหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง และได้ขอเรียนวิชาบางประการมา เช่น การนำกระเบื้องแตกมาลงอักขระแล้วนำไปวางไว้ในใจกลางที่ดินเพื่อจะให้ขายได้ เป็นต้น ส่วนอีกองค์หนึ่งคือหลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยางซึ่งเป็นพรระสหธรรมมิกกันกับหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องนั้น หลวงปู่อั๊บท่านได้กราบฝากตัวเป็นศิษย์เช่นกัน แต่หลวงพ่อจันทร์ท่านสั่งให้ไปพบท่านใหม่โดยให้นำหัวหมูไปด้วย ๑ หัว แล้วท่านจะถ่ายทอดวิชาให้หมด แต่เมื่อหลวงปู่อั๊บท่านกลับมาวัดท้องไทรแล้ว ได้ล้มป่วยด้วยไข้มาลาเรีย หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า “ ไข้ป่า “ ท่านเล่าว่าป่วยคราวนั้นเกือบตายเป็นๆหายๆอยู่ประมาณ ๓ เดือน เมื่อหายแล้วได้เดินทางกลับไปหาหลวงพ่อจันทร์อีกครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งว่าหลวงพ่อจันทร์ท่านได้มรณภาพลงเสียแล้ว จึงไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อจันทร์เอาไว้เลย

เมื่อท่านบวชได้ ๘ พรรษา ได้เดินทางไป จ.สุพรรณบุรีเพื่อไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโบ้ย วัดมะนาว หลวงพ่อโบ้ยท่านนี้มีความเชี่ยวชาญในวิปัสสนากรรมฐานเป็นยิ่งนัก มีความศักดิ์สิทธิ์ในวิชาอาคมขลังเป็นเลิศ หลวงปู่อั๊บท่านได้ขอขึ้นกรรมฐานธุดงค์กับหลวงพ่อโบ้ย ซึ่งหลวงพ่อโบ้ยท่านก็สอนหลักการธุดงค์ การอยู่ป่าให้อย่างละเอียด จึงนับได้ว่าหลวงหลวงพ่อโบ้ยคือครูกรรมฐานที่แท้จริงของหลวงปู่อั๊บ

กราบน้อมรำลึก..วันละสังขาร ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ครบรอบ ๕ ปี "หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร" เกจิดังผู้เมตตาแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี..

เครดิตภาพ คุณธีรพงศ์ ธัญวลัยพุ่มดี

กลับจากวัดมะนาว จ.สุพรรณบุรีแล้ว ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดโคกเขมา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดท้องไทรมากนัก ๑ พรรษา ( พรรษาที่ ๙ ) ออกพรรษารับกฐินแล้ว จึงกลับมาอยู่วัดท้องไทรอีก ๑ พรรษา ( พรรษาที่ ๑๐ )

ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ ( พรรษาที่ ๑๑ ) ได้มีญาติโยมได้นิมนต์ท่านไปอยู่ที่วัดใหม่ต้านทาน อ.บางซ้าย จ.อยุธยา เมื่อมาอยู่อยุธยา แล้วได้มีโอกาสไปฝากตัวเป็นศิษย์ของงหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.อยุธยา ซึ่งหลวงพ่อจงท่านนี้นับได้ว่าเป็นยอดพระเกจิอาจารย์ในยุคนั้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จนมีคำคล้องจองกล่าวกันว่า จาด - จง - คง - อี๋

จาด คือ หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา จ.ปราจีนบุรี

จง คือ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา

คง คือ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม จ.สมุทรสงคราม

อี๋ คือ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี

หลวงปู่อั๊บท่านได้เรียนวิชาจากหลวงพ่อจงไว้มากพอสมควร หลวงพ่อจงท่านได้สอนวิปัสสนากรรมฐานให้ และวิชาอื่นๆให้ เช่น วิชาตะกรุดลอยน้ำ ซึ่งเป็นวิชา เมตตามหานิยมอย่างสูง , อักขระยันต์ต่างๆ

ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๕ ถึง พ.ศ.๒๕๐๕ นั้นได้จำพรรษา ณ วัดใหม่ต้านทาน อ.บางซ้าย จ.อยุธยา เป็นเวลา ๑๑ พรรษา หลังออกพรรษาเมื่อรับกฐินแล้วท่านได้ออกธุดงค์ เพื่อหาความวิเวกทุกปี ในช่วงระยะ ๑๑ ปีนี้ท่านได้เรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมและฝึกจิตใจจนมีความก้าวหน้าในทางจิตอย่างรวดเร็ว จากการที่ได้ธุดงค์อยูป่า - อยู่เขา - อยู่ถ้ำ ทำให้ท่านมีพลังจิตแกร่งกล้าเป็นยิ่งนัก ท่านเล่าว่าได้เดินไปทั่วประเทศมาหมดแล้ว ในช่วงที่เดินธุดงค์อยู่นั้นได้พบปะพระธุดงค์ด้วยกันถ้าพระรูปใดได้แสดงวิชาอะไรให้ดูให้เห็นเป็นที่ประจักษ์จริงแก่สายตาแล้ว ท่านเป็นขอเรียนไว้หมดโดยท่านบอกว่าไม่สามารถที่จะจำชื่อได้หมด ในช่วงที่อยู่อยุธยานี้ได้ไปขอเรียนวิชาอย่างหนึ่งที่พิสดารยิ่งคือ วิชาทำตะกรุดกันอสรพิษ จากหมอถ่าย หมอถ่ายนี้เป็นฆราวาสพักอยู่ใกล้ๆกับวัดไผ่โรงวัวที่ จ.สุพรรณบุรี หมอถ่ายนี้สามารถเอางูเห่าใส่ย่ามสะพายไปไหนมาไหนได้ สามารถนำงูออกมาอาบน้ำในกะละมังได้โดยไม่กัด หลวงปู่ไปขอเรียนอยู่ ๗ ปี จึงยอมสอนให้แต่ก็ให้ไม่หมดเพราะหลวงปู่ไม่มีฝิ่นไปไหว้ครู

นับได้ว่าเป็นวิชาที่พิสดาร คือ ถ้าผู้ใดคาดตะกรุดกันงูนี้อยู่กับตัว ถ้าไปเหยียบงูพิษเข้า งูไม่สามารถอ้าปากออกกัดได้ การทำก็ยุ่งยากมาก เคยเห็นแต่ท่านนั่งผูกตะกรุดกันงู ต้องปิดปากเอาลิ้นดุนเพดานปากไว้แล้วภาวนาขณะถักตะกรุดด้านหนึ่งมี ๙ เปลาะ แล้วเอาตะกรุดร้อยเข้าไปแล้วจึงถักอีกด้านหนึ่ง ๗ เปลาะ ขณะถักอยู่ห้ามพูดเด็ดขาดถ้าเกิดไอหรือจามหรือเผลอพูดออกมา เป็นอันว่าตะกรุดดอกนั้นเสียทันทีต้องแก้ใหม่หมด ท่านบอกว่าถักตะกรุดกันงูทีไรฉันอาหารไม่ค่อยได้ไปหลายวัน

ในปี พ.ศ.๒๕๐๖ - ๒๕๐๗ ญาติโยมได้นิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่วัดวังชะโด ซึ่งอยู่ใน อ.บางซ้าย จ.อยุธยา เช่นกันเป็นเวลา ๒ พรรษา รวมแล้วท่านมาอยู่ที่ จ.อยุธยานี้ ๑๓ ปี

ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ หลวงปู่อั๊บมีอายุได้ ๔๓ ปี ญาติโยมทางบ้านท้องไทรได้มานิมนต์ให้หลวงปู่กลับไปวัดท้องไทร อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เพื่อไปโปรดญาติโยมที่บ้านเกิดบ้าง ท่านจึงได้กลับมาอยู่วัดท้องไทรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ปีที่ท่านกลับมาอยู่ที่วัดท้องไทรนั้นอายุได้ ๔๓ ปี ย่าง ๔๔ ปี พรรษาได้ ๒๔ พรรษา

ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ หลวงปู่มีดำริจะสร้างศาลาการเปรียญขึ้นมาสักหลัง ลูกศิษย์จึงได้ขออนุญาตสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นมาเป็นเหรียญทองแดง รูปไข่ครึ่งองค์ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ เพื่อมอบสมนาคุณให้แก่ผู้บริจาคทรัพย์สร้างศาลาการเปรียญ พร้อมกันนี้ท่านได้สร้างตะกรุดกันงูขึ้นมาด้วยแจกพร้อมกันกับเหรียญรูปไข่ ซึ่งผู้ที่ได้รับไปบูชานั้นได้พบเจอกับอภินิหารมากมาย นับเป็นการสร้างชื่อเสียงขจรขจายให้ผู้คนทั่วไปได้รู้จักกับหลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร จนโด่งดังไปทั่วมากยิ่งขึ้น และหลวงปู่ก็ได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านท้องไทรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ท่านได้นำวิชาต่างๆที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ผู้คนทั้งวิชาแพทย์แผนโบราณรักษาโรคด้วยสมุนไพร หรือโรคเกี่ยวกับกระดูก - เส้น เป็นต้น

อีกวิชาหนึ่งที่ท่านได้สงเคราะห์ผู้คน คือ วิชาแช่น้ำมนต์ถอนคุณไสย วิชาแช่น้ำมนต์ถอนของนี้ท่านได้ไปเรียนกับ ก๋งสุข ซึ่งเป็นคนจีน บ้านอยู่ที่ จ.อยุธยา ก๋งสุขนี้ตอนรุ่นๆได้ต้มน้ำร้อนถวายหลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่า เป็นลูกศิษย์รับใช้หลวงปู่ศุขอยู่ถึง ๑๐ ปี หลวงปู่ศุขถึงได้ถ่ายทอดให้มาและสั่งไว้ด้วยว่าถ้ามอบต่อให้ใครแล้วมึงก็ตายเสีย หลวงปู่อั๊บเพียรไปขอเรียนอยู่ประมาณ ๖ ปี ก๋งสุขจึงยอมมอมให้ หลังจากถ่ายทอด วิชาน้ำมนต์ให้กับหลวงปู่อั๊บแล้ว ประมาณ 1เดือน ก๋งสุขก็เสียชีวิต ในวัย ๙๐ ปีเศษ

ในการรักษาผู้โดนคุณไสย การรักษาของหลวงปู่นั้น ถ้าผู้ใดสงสัยว่าจะถูกคุณไสย - ลมเพลมพัด ท่านจะให้นำน้ำกรองให้สะอาดใส่ในกะละมังพอมิดหลังเท้า แล้วเอาน้ำมนต์ที่ท่านทำไว้แล้วใส่ลงไป ล้างเท้าให้สะอาดแล้วจึงเอาเท้าแช่ลงไปในกะละมังนั้น เอาน้ำมนต์ดื่มเข้าไปด้วย ถ้าคนป่วยนั้นถูกของคุณไสยถูกของมาจริง ก็จะถูกขับออกมาในกะละมัง แช่วันละ ๓ ชม. ต้องมาติดต่อกัน ๓ วัน ครบ ๙ ชม. แล้วหลวงปู่ท่านจะอาบน้ำมนต์ให้อีกครั้ง บางคนเป็นหนักมากจนไม่ได้สติต้องหามมาก็มี ก็มาหายด้วยน้ำมนต์ของหลวงปู่ท่านมากมายนับไม่ถ้วน บางคนถ้าต้องการลงแช่ทั้งตัว ค่ารักษาก็มีเพียง ธูป - เทียน - ดอกไท้ - บุหรี่ ๑ ซอง บวกเงิน ๑๒ บาท เท่านั้นบางคนเป็นอัมพฤต - อัมพาต มาแช่แล้วเอายาไปกินก็หายเดินได้มาก็มาก ท่านได้สงเคราะห์ผู้คนเช่นนี้มาหลายสิบปี ถ้านับจำนวนผู้ป่วยที่ท่านสงเคราะห์เขาไปนี้ ไม่อาจจะระบุได้ว่ากี่พันราย

* หมายเหตุ หลวงปู่อั๊บได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๓ ดังปรากฏตามตราตั้งเจ้าอาวาส และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น พระกรรมอาจารย์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๔ และได้มรณภาพลง เมื่อวันเสาร์ ที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะโรง เวลา ๐๓.๓๐ น. อย่างสงบ ณ. รพ.คริสเตียน

จังหวัดนครปฐม สิริอายุรวม ๙๐ ปี ๑๗ วัน

( บันทึกชีวประวัติพระเดชพระคุณท่าน พระอธิการเกษม ( อั๊บ ) เขมจาโร เจ้าอาวาส วัดท้องไทร ขณะอายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา ได้ทำการจดบันทึกโดย นายนรินทร์ กำบัง บันทึกไว้ขณะที่ท่านเข้ารักษาการอาพาธเนื่องด้วยปอดอักเสบ ณ. โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว เข้ารับการรักษาเมื่อวันที่ ๒๖ ธ.ค. ๒๕๕๑ วันที่เริ่มมีการจดบันทึกคือ วันที่ ๗ ม.ค. ๒๕๕๒ จากคำบอกเล่าของหลวงปู่เอง

กราบน้อมรำลึก..วันละสังขาร ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ ครบรอบ ๕ ปี "หลวงปู่อั๊บ วัดท้องไทร" เกจิดังผู้เมตตาแห่งลุ่มน้ำนครชัยศรี..

ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของภาพ และที่มาเนื้อหาข้อมูลมา ณ ที่นี้

( Admin เด็กวัด )

วัดท้องไทร

เจ้าของภาพ คุณธีรพงศ์ ธัญวลัยพุ่มดี

เพื่อเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติคุณครูบาอาจารย์