ย้อนรอยมหาสงครามเอเชียบูรพา เสี้ยวประวัติศาสตร์สงครามโลก “ท่าแพ” รอยทราย มิอาจกลบอดีต

ย้อนรอยมหาสงครามเอเชียบูรพา เสี้ยวประวัติศาสตร์สงครามโลก “ท่าแพ” รอยทราย มิอาจกลบอดีต

เสี้ยวประวัติศาสตร์สงครามโลกที่ “ท่าแพ”
รอยทราย มิอาจกลบอดีต

1. “ ญี่ปุ่นอุก...ญี่ปุ่นอุก”

    “ท่าแพ” เป็นชุมชนเล็กๆ  อยู่ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปไม่ไกลนัก
           เป็นชุมชนธรรมดาๆ ท่าเทียบเรือประมง ริมทางหลวงที่อาจไม่มีใครในยุคสมัยปัจจุบันนี้รู้จักด้วยซ้ำไป นอกจากทางผ่านเล็กๆ จาก สุราษฎร์ธานี เข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช
           แต่ชุมชนเล็กๆ อย่าง “ท่าแพ” ก็ใช่ว่าจะธรรมดา จนหาความสำคัญอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อย “ประวัติศาสตร์” ของที่นี่ก็นับว่าไม่ธรรมดานัก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ “ประวัติศาสตร์ส่วนตัว” ของครอบครัวหนึ่งหรือจะเป็น “ประวัติศาสตร์ส่วนรวม” ของประเทศชาติ
           ปี พ.ศ. ๒๔๘๔  เมื่อครั้งสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา “ท่าแพ” เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดแห่งหนึ่ง ที่กองทัพญี่ปุ่นใช้เป็นจุดยกพลขึ้นบก ณ สยามประเทศ
           ว่ากันว่าในวันนั้นทุกคนใช้ชีวิตเช่นปกติเหมือนเช่นทุกวัน โดยไม่รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง และมันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปกี่มากน้อย
           เวลาเช้า ของวันที่ ๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ วัย 5 ขวบกำลังนั่งเล่นอยู่กับเพื่อนในบ้าน แม่ของเด็กหญิงก็ “ล้มป่วย” ไม่สามารถลุกขึ้นนั่ง หรือยืนได้ 
           แต่ด้วยสังคมชนบทเมื่อ ๗๐ ปีที่ผ่านมาที่ยังพอ “ฝากผี ฝากไข้” กันได้ จึงทำให้ไม่ขาดซึ่งคนที่จะผลัดกันเข้ามาดูแล มาเยี่ยมเยือน มาป้อนข้าวป้อนน้ำ หากับข้าว กับปลาให้กินแทนกันได้
     
     จู่ๆ ภายนอกก็มีเสียงผู้คนโกลาหลอื้ออึง
     

           “ช่วยกันต้า....ช่วยกันต้า.... ญี่ปุ่นอุกท่าแพ....ญี่ปุ่นอุกท่าแพ” 
     
           (ช่วยกันด้วยๆ ญี่ปุ่นปล้นท่าแพ....ญี่ปุ่นปล้นท่าแพ)

           เสียงใครหลายคนร้องตะโกนดังขึ้นในสภาพความวุ่นวายตื่นตระหนก เสียงวิ่งกันขวักไขว่ เสียงตะโกนไปมาอย่างจับใจความไม่ได้
           เสียง “หวูด” เรือยางที่นำพาทหารญี่ปุ่นเข้ามาดังก้องไปทั่วบริเวณ

           ก่อนหน้านี้แต่เช้ามืด น้าชายของ “เด็กหญิง” ที่เป็นทหารในค่ายทหาร นครศรีธรรมราช ซึ่งได้ลาเวรชั่วคราวมาดูแล “ไข้” พี่สาวของตน ได้กุลีกุจอ แต่งตัวสวมเครื่องแบบสนามออกไปรายงานตัวอย่างไม่ได้สั่งเสียอะไรไว้ 
           แต่ที่เด็กหญิงจำได้อย่างชัดเจน และติดตรึงตาจนถึงปัจจุบันคือ น้าชายของตนหยิบเอาปืนยาวลูกซองแฝดของพ่อตนพร้อมกระสุนหนึ่งกล่องติดตัวไปด้วย
           พร้อมกันนั้น ยังได้หยิบเอาปืนลูกโม่ของพ่อ แล้วเอากระสุนยัดใส่รังเพลิง แล้วยื่นให้แม่ของเด็กหญิง พร้อมทั้งสั่งไว้ว่า 
     

“มีอะไรเกิดขึ้นที่นครฯ  เจ๊ยิงได้เลย ไม่ต้องถาม ยิงไว้ก่อน”

            ตามประสาเด็ก “เด็กหญิง” ยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นข้างนอกบ้านอย่างแน่ชัด น้าชายของเธอแต่งเครื่องแบบสนามพร้อมรบไปทำไม ไปที่ไหน เมื่อไรจะกลับมา แล้วทำไมต้องเอาปืนไป ไหนจะเอาปืนยัดใส่มือแม่ 
           

           ความสับสนพลุ่งพล่านอยู่ในหัว เกินที่จะประมวลในสมองน้อยๆ ของเด็กหญิงได้ถูก แต่ด้วยสัญชาติญาณการเอาชีวิตรอดของเด็กตัวเล็กๆ เท่านี้ ก็ชัดเกินจะแจ้งแล้วว่า “ภัยกำลังมาถึงตัว” และเมื่อเห็นเพื่อนเล่นแสดงท่าทางตกใจกลัว เธอก็ร้องบอกให้เพื่อนหลบเข้าไปแอบในมุ้ง ด้วยความเชื่อของเด็กที่ว่า 


           “หากกลัวผี ก็ให้นอนเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีก็จะมองไม่เห็น” ซึ่งคงไม่แตกต่างกันกับ “หากไม่อยากให้ใครเห็น ก็ให้ไปหลบในมุ้ง เท่านี้ก็ไม่มีใครเห็น” 
     
           นอกบ้านเสียง “หวูด...หวูด” ดังขึ้นติดต่อกันนาน เสียงผู้คนที่วิ่งหนีโกลาหลอยู่เมื่อครู่ ยังไม่ซาหายไป เด็กหญิงเริ่มร้องไห้วิ่งไปที่หน้าต่างด้านซ้ายทีขวาทีส่งเสียงร้องเรียกให้คนช่วย
           หลายนาทีผ่านไป เด็กหญิง เริ่มจับใจความ ท่ามกลางความโกลาหลของเสียงวิ่ง เสียงตะโกน และเสียงปืนที่เริ่มปะทะกัน ได้ ว่า “ญี่ปุ่นอุก” (ญี่ปุ่นปล่น)
           ญี่ปุ่นเป็นใคร คืออะไร มาจากไหน ทำไมชาวบ้านถึงกลัว ทำไมถึงมาปล้น......
     

           สักครู่ใหญ่ พ่อของเพื่อนคนนั้น ก็วิ่งพรวดเข้ามาร้องถามหาลูกเสียงดังลั่น           

           “อีเขียวมันกลัว เลยเข้าไปแอบอยู่ในมุ้ง” เด็กหญิงที่นั่งอยู่ร้องบอกพร้อมร้องไห้ เมื่อได้ความผู้เป็นพ่อก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าไปอุ้มลูกของตนออกมาจากมุ้ง ก่อนจะวิ่งลงจากบ้านไป 
           พ่อของเพื่อนพยายามที่จะพยุง “แม่ของเด็กหญิง” ให้ลุกหนี เพราะแน่ใจแล้วว่า บ้านหลังนี้คือจุดอันตรายที่สุด
           แค่ด้วยพิษไข้ที่ทรงตัวขั้นยืนไม่ได้ และไหนจะเด็กอีก 2 คน ที่ชายหนุ่มอุ้มอยู่ในวงแขน แม่ของเด็กหญิงจึงตัดสินใจสั่งเสีย “ลาตาย” ออกมา

“เจ๊ฝากอีลี่ไวกัน เจ๊ไม่ไหวแน่ๆ อย่าพากันตายทั้งหมด” แล้วยื่นปืนลูกโม่ให้ชายหนุ่ม พ่อของเพื่อนลูกสาวตัวน้อยของตน

           ตอนนั้นชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า อะไรเกิดขึ้น มีข่าวบอกกันมาปากต่อปากว่า มีการปะทะกันแล้วระหว่างชาวบ้านไทย กับทหารญี่ปุ่น ประกอบกับเสียงปืนแก๊ปของชาวบ้าน ไทยประดิษฐ์ เริ่มดังขึ้นหนาหู 
           ๓ ชีวิตที่ต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กับอีก ๑ ชีวิต ที่นอนรอความตายอยู่ที่บ้าน และนับอีกหลายชีวิตที่อาจจะตายไปแล้ว หรือกำลังรอความตายอยู่ เขาจะทำอย่างไรดี หนีไปพร้อมเด็กๆ ปล่อยให้คนแก่นอนรอความตายกระนั้นหรือ
     
           ชายหนุ่มที่วิ่งพลาง อุ้มเด็ก ๒ คนวิ่งไปพลาง คิดไปพลาง หาทางแก้ปัญหาไปพลาง ตัดสินใจทันทีเมื่อเห็นกลุ่มคนที่วิ่งวุ่นโกลาหลเบื้องหน้า ปล่อยเด็ก ๒ คนลงจากวงแขน พร้อมตะโกนสุดเสียง

    “อีนุ้ย อีลี่ แล่น ลูก” “แล่นอย่างเดียว ไม่ต้องหวังเหวิดพ่อ แล่น ไป๊เร็ว”
    (อีนุ้ย อีลี่ วิ่ง ลูก) (วิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ วิ่ง ไป๊เร็ว)

           นั่นคือภาพสุดท้ายที่เด็กหญิง และเพื่อนของเธอ “เห็นน้า” “เห็นพ่อ” เป็นครั้งสุดท้าย

 

           ก่อนที่ ชายหนุ่มจะวิ่งสวนกลับไปยังทางที่วิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่ เสียงปืนหนาขึ้นเรื่อยๆ เสียงปืนใหญ่เริ่มดังเสียดแก้วหู ก่อนกระทบพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนที่จะตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนที่แม้แต่ผู้ใหญ่ ยังอดที่จะหวีดร้องอย่างตกใจ และก้าวขาวิ่งไม่ออก เพราะแรงสะเทือนที่ระเบิดทำงานนั้น มันเหมือนมีคลื่นเสียง มากระแทกร่างอย่างรุนแรง จนหัวใจแทบจะหยุดเต้น และหลุดออกจากร่างในวินาทีนั้นให้ได้ 
           ถึงแม้ไม่ได้โดนเศษสะเก็ดระเบิดจนบาดเจ็บ หรือล้มตายไป แต่แรงสะเทือนก็ไม่สามารถทำให้ก้าวขาวิ่ง หรือทรงตัวยืนอยู่ได้เช่นกัน แต่สำหรับเด็กน้อยๆ 2 คนนั้น อย่าว่าแต่จะทรงตัวขึ้นยืน หรือก้าวขาวิ่งเลย เพราะเสียงกึกก้องกัมปนาทของปืนใหญ่ที่ยิงมาจากเรือรบญี่ปุ่นนอกอ่าวทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ร่างน้อยๆ ถึงกับล้มลง ด้วยเสียงอันมหาศาล และแรงสะเทือนที่กึกก้องกัมปนาท
                 

           ปืนลูกโม่ ที่ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนพ่อถือไปนั้นนะหรือ จะไปสู้กับสิ่งเหล่านี้....................

 

อ่านบทความต่อเนื่องได้ที่ที่ลิงก์
http://www.tnews.co.th/contents/399277
http://www.tnews.co.th/contents/401778
http://www.tnews.co.th/contents/421106
http://www.tnews.co.th/contents/422655