งานวิจัยเตือน สิ่งนี้ในครัว ตัวเร่งเสี่ยงมะเร็งปอด–เบาหวาน

หลายคนเชื่อว่าการอยู่ในบ้านช่วยหลีกเลี่ยงมลพิษทางอากาศจากภายนอกได้ แต่ผลการศึกษาล่าสุดกลับชี้ว่า ภัยเงียบอาจซ่อนอยู่ใน “ครัว” โดยที่หลายครอบครัวไม่ทันระวัง

งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ซึ่งเผยแพร่ในวารสารวิชาการ PNAS Nexus ระบุว่า เตาแก๊สและเตาโพรเพนที่ใช้ในครัวเรือน เป็นแหล่งปล่อยก๊าซพิษสำคัญอย่าง ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับที่พบในควันจากท่อไอเสียรถยนต์

นักวิจัยพบว่า เตาแก๊สมีส่วนทำให้เกิดการรับก๊าซ NO₂ ภายในบ้านในสัดส่วนประมาณ หนึ่งในสี่ของการสัมผัสระยะยาวทั้งหมด และในบ้านที่ทำอาหารเป็นประจำ ระดับการสัมผัสอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ

การได้รับไนโตรเจนไดออกไซด์ในระยะยาว ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ กระตุ้นอาการหอบหืด และมีความเชื่อมโยงกับ ความเสี่ยงมะเร็งปอด รวมถึงโรคเบาหวาน โดยในหลายกรณี ระดับความเข้มข้นของก๊าซในช่วงทำอาหารสูงเกินค่ามาตรฐานที่ องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำไว้

ไม่เพียงเท่านั้น งานศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเพอร์ดู (Purdue University) ยังพบว่า เตาแก๊สสามารถปล่อย อนุภาคขนาดเล็กระดับนาโน ได้มากกว่าท่อไอเสียรถยนต์ถึง 10–100 เท่า และยังตรวจพบสาร เบนซีน (Benzene) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่มีความสัมพันธ์กับโรคลิวคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ที่น่ากังวลคือ เด็กเล็กมีความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเบนซีนสูงกว่าผู้ใหญ่ถึง เกือบ 2 เท่า เนื่องจากระบบทางเดินหายใจและภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่

 

แนวทางลดความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า วิธีลดความเสี่ยงที่ได้ผลที่สุดคือ เปลี่ยนมาใช้เตาไฟฟ้าหรือเตาอินดักชัน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ภายในบ้าน
อย่างไรก็ตาม หากยังจำเป็นต้องใช้เตาแก๊ส ควร

-   เปิดเครื่องดูดควันทุกครั้งที่ทำอาหาร

-   เปิดหน้าต่างหรือประตูเพื่อให้อากาศถ่ายเท

-   ลดระยะเวลาการใช้เตาแก๊สในแต่ละมื้อ

บทสรุป

ผลวิจัยดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนให้สังคมหันมาใส่ใจ “คุณภาพอากาศภายในบ้าน” มากขึ้น เพราะสุขภาพที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่แค่การหลีกเลี่ยงฝุ่นควันนอกบ้านเท่านั้น แต่ยังเริ่มต้นจากการเลือกใช้อุปกรณ์ในครัวอย่างเหมาะสม เพื่อปกป้องปอดและสุขภาพระยะยาวของทุกคนในครอบครัว
 

แหล่งที่มาอ้างอิง

งานวิจัยจาก Stanford University ตีพิมพ์ในวารสาร PNAS Nexus

ข้อมูลการศึกษาเพิ่มเติมจาก Purdue University

แนวทางคุณภาพอากาศจาก องค์การอนามัยโลก (WHO)