หนุ่มช่างซ่อม แอบขับซูเปอร์คาร์ลูกค้าพาสาวเที่ยว แต่กลับถูกแก๊งโจรดักลักพาตัว

เกิดเรื่องงามหน้าวงการช่างซ่อมรถขึ้นมาซะงั้น เมื่อสื่อต่างประเทศได้รายงานว่า เกิดเรื่องราวที่คนรักรถถึงขั้นไม่ไว้ใจอู่ซ่อมรถอีกต่อไป หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นบราซิลได้รับแจ้งเหตุว่า มีกลุ่มคนร้ายลักพาตัว ฟรานซิสโก โรเจอริโอ ลีนโดร รามอส หนุ่มช่างยนต์ชาวบราซิล และแฟนสาวไป โดยคิดว่าทั้งสองเป็นวัยรุ่นคนรวย เนื่องจากเห็นว่าขับรถหรูมาเที่ยว

 

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

หลักฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่พอจะหาเบาะแสได้ก็มีเพียงคลิปวิดีโอเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิดที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว เผยให้เห็นว่า ในขณะที่ฟรานซิสโกขับรถไปกับแฟนสาว ผ่านบริเวณมุมถนนแห่งหนึ่งในเมืองนอวาอีกวาซู ของรีโอเดจาเนโร อยู่ๆ ก็มีชาย 2 ราย สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าพร้อมอาวุธปืน บุกเข้าขวางหน้ารถและข่มขู่บังคับให้ฟรานซิสโกและแฟนสาวลงมาจากรถ

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เจ้าหน้าที่ระบุว่า กลุ่มโจรดังกล่าวเข้าใจว่าฟรานซิสโกเป็นเจ้าของรถหรูคันนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นรถปอร์เช่ของลูกค้าที่เขาแอบนำมาขับพาแฟนเที่ยว คนร้ายจึงจับทั้งสองมัดไว้และให้นั่งไปที่เบาะหลัง โดยแบ่งให้คนหนึ่งนั่งคุมตัวไป ส่วนอีกคนก็ขับรถ ซึ่งตามรายงานเปิดเผยเพียงว่า แท้จริงแล้ว เจ้าของรถปอร์เช่คันนี้เป็นนักธุรกิจรายหนึ่ง

เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นที่ เมื่อไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุ นักธุรกิจคนนี้ได้นำรถมูลค่ากว่า 65,000 ปอนด์ หรือราวๆ 3 ล้านบาท มาซ่อมที่อู่ที่ฟรานซิสโกทำงาน ภายหลังจากระบบเครื่องเสียงมีปัญหา แต่หนุ่มช่างซ่อมก็ดันนึกพิเรนทร์ นำรถหรูระดับไฮเอนด์คันนี้ไปขับเล่น จนเกิดเหตุขึ้นกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนพบว่า ภายหลังจากรถขับออกจุดเกิดเหตุ ได้ขับไปที่ตู้กดเงินสด 

ก่อนจะมีภาพของฟรานซิสโกถูกบังคับให้ไปกดเงินที่ตู้ ในบัญชีของเขาไม่มีเงิน ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน คนร้ายก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนรวยและไม่ใช่เจ้าของรถตัวจริง คนร้ายจึงขับรถไปจอดทิ้งไว้ที่เมืองนิโลโปลิส ที่อยู่ใกล้เคียง โดยไม่ทำอะไรกับรถหรูคันนี้ พร้อมทั้งปล่อยตัวฟรานซิสโกและแฟนสาวไป เคราะห์ดีที่ทั้งสองปลอดภัยและไม่ได้รับอันตรายใดๆ

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

อย่างไรก็ตาม จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตามรายงานไม่เผยแน่ชัดว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามสอบสวนคดีเพื่อจับกุมคนร้ายต่อไปหรือไม่ รวมทั้งฟรานซิสโกได้รับโทษในที่ทำงานอย่างไรหรือไม่

ข้อมูลจาก dailymail