นายกฯอังกฤษ ประกาศใช้แผนสอง รับมือโอมิครอนโควิด

โอมิครอนโควิด กระจายไปแล้วกว่า 47 ประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่มีการยืนยันผู้ติดเชื้อ โควิดโอไมครอน ซึ่งก่อนหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศได้ลงความเห็นว่า มันคือ เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่เคยมีการระบาดมา ซึ่งตามข้อมูลระบุว่า อาการผู้ติดโอมิครอนนั้น ไม่เสียการรับรสหรือกลิ่น แต่มีอาการอื่นๆ ที่ไม่ค่อยรุนแรง เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียนานวันสองวัน ครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ที่น่าตกใจคือ ความสามารถในการหลบภูมิจาก วัคซีนไฟเซอร์

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 
- ไทม์ไลน์ ผู้ป่วยโอไมครอนคนแรกในไทย ป่วยไม่มีอาการ สธ.แนะด่วนวิธีป้องกัน
- อนุทิน แจงผู้สัมผัสคนป่วยโอมิครอนรายแรก ซัดเอาข่าวดีๆ ไว้ก่อน
- ผลทดสอบ โอมิครอน กับ ไฟเซอร์ ล่าสุดออกแล้ว หนีภูมิขนาดนี้นางฟ้า หรือ ซาตาน?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้าน ผู้นำอังกฤษ เองก็ไม่รอช้า รีบประกาศใช้ "Plane B" เพื่อรับมือโอมิครอนโควิด (Omicron) ให้ทำงานจากที่บ้าน สวมหน้ากากอนามัย ใช้ วัคซีนพาสปอร์ต ซึ่ง อังกฤษ ถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดทั้งหมด เมื่อหลายเดือนก่อน โดยไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย และให้ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ 

แต่ล่าสุด นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศใช้ "แผนบี" หรือ "แผนสอง" เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนแล้ว นายกรัฐมนตรีจอห์นสัน แถลงประกาศให้ประชาชนทำงานจากที่บ้าน หรือ เวิร์ค ฟอร์ม โฮม อีกครั้งหนึ่ง ถ้าหากทำได้ นอกจากนั้นยังประกาศให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยขณะที่อยู่ในอาคารที่ร่ม 

พร้อมกันนั้น ยังประกาศต้องใช้ วัคซีนพาสปอร์ต ก่อนเข้ารับบริการต่างๆทั้งร้านอาหาร หรือสถานท่องเที่ยวกลางคืน รวมถึงโรงภาพยนต์ โรงละคร หรือติดต่อบริการต่างๆ
 

โดยผู้นำอังกฤษ กล่าวต่อไปโดยระบุว่า การประกาศใช้ "แผนบี" ในครั้งนี้ ถือเป็นการซื้อเวลาให้กับหน่วยงานด้านสาธารณสุข สามารถเรียนรู้และศึกษาสายพันธุ์ ‘โอมิครอน’ ได้มากขึ้น เพื่อหาทางป้องกันในขั้นต่อไป เนื่องจากขณะนี้พบว่า มีผู้ติดเชื้อ ‘โอมิครอน’  ในสหราชอาณาจักรมากขึ้น โดยเคสที่ยืนยันแล้วอยู่ที่ 568 เคส แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า จริงๆ แล้วอาจจะมากถึงหลักหมื่นด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม นายบอริส จอห์นสัน ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า "สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ โควิดโอมิครอน ก็คือ มีหลักฐานที่ชี้ชัดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนนั้นเพิ่มขึ้นในหลักเท่าตัวในช่วงเวลาเพียง 2 - 3 วันเท่านั้น ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัยจึงต้องกลับมาใช้อีกครั้งสำหรับการใช้บริการต่างๆ เช่น โรงภาพยนต์ หรือโรงละคร เป็นต้น"